วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ภูมิใจ


การที่แววมาทำอาชีพ "หมอนวด" ในวันนี้ เพิ่งรู้เหมือนกันนะว่า
ในทุกวันนี้ สังคมมองอาชีพหมอนวดเป็นเหมือนกับ "ผู้หญิงขายตัว" หรือ "ผู้หญิงขายบริการ" เลย
แต่แววเชื่อมั่นในสิ่งที่แววทำ
แววมีครูบาอาจารย์, แววเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่ทำ
แต่บางทีมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ ถ้าเราได้หันไปเห็นเพื่อนที่ทำงานเดียวกัน เค้ากลับได้เงินมาง่าย ๆ ไม่ต้องเหนื่อยเหมือนเรา เดี๋ยวก็ได้อีกแล้ว ทำไมอ่ะ

บางทีแววก็อยากเป็นเหมือนเค้าบ้างนะ พยายามอยากจะมีกิ๊กเหมือนกัน แต่ทำไม่ได้ แววทำแบบเค้าไม่ได้
เพราะถ้าคุณหา "กิ๊ก" ภายในร้านที่คุณทำงาน
คุณคุยโทรศัพท์กับลูกค้า แล้วให้เค้ามารับคุณออกไปจากร้าน คนภายนอกจะมองกันยังไงอ่ะ

"อันนี้แววรู้นะว่าเค้ามองว่า สามารถซื้อผู้หญิงในร้านนี้ได้ทุกคน เพราะเพื่อนเค้าทำมาแล้ว ทีนี้มันก็ยิ่งเป็นเหมือนกิเลสให้แววคิด ชั่งน้ำหนักดูให้ดี ทำไมเค้าถึงสบายจัง ทำไมเค้าไม่ต้องเหนื่อยเหมือนเรา ไม่ต้องเป็นหนี้เหมือนเรา เค้าไม่เห็นลำบากเหมือนเราเลยอ่ะ จะทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้"
"แววอิจฉาเค้านะ"

ถ้าวันไหนที่แววมีลูกค้าเยอะ ๆ แล้วแววเหนื่อยมาก ๆ วันนั้นแววจะภูมิใจมากเลย เพราะเงินที่แววได้มา แววได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของแววเอง มันเป็นเงินที่แววได้มาจากความพยายาม ถึงแม้จะเหนื่อยแสนสาหัส แต่มันคือความภาคภูมิใจ เหนื่อยแค่ไหนแววก็ทำได้

"มีหมอนวดด้วยกันเค้าเคยบอกแววว่า "แววมีศักดิ์ศรีมากเกินไป แววถึงไม่มีจะกินยังไงล่ะ"
เพราะแวว "ไม่ยอมมีกิ๊กเหมือนเค้าเหรอ แววถึงไม่มีเงิน"
แววอยากจะภูมิใจในสิ่งที่แววเป็นนะ
แววอยากให้ลูกชายของแวว ภาคภูมิใจในอาชีพของแม่
ถึงแม้แววเหนื่อยมากกว่านี้อีกร้อยเท่าพันทวี แต่ถ้ามีลูกค้า แววก็ทำได้ เพราะนั่นหมายถึงเงินตรา ที่แววจะมีให้แม่ และให้ลูกของแวว

แววท้อแท้มามากมายแล้ว ปัญหาก็มีมากมาย แววผ่านปัญหามานานัปประการจริง ๆ แต่ทุกปัญหาก็ผ่านพ้นมาได้ เพียงแต่ว่าแววจะเหนื่อยมากหรือน้อยแค่ไหนเท่านั้นแหล่ะ แต่ทุกปัญหามีไว้ให้เราฝ่าฟัน มีไว้ให้เราแก้ไข ถึงแม้ว่า "กว่าที่จะแก้ไขผ่านไปได้ แววจะเสียน้ำตาอีกร้อยพันหยด แววจะต้องเหนือยกว่านี้อีกแสนสาหัส แต่สิ่งที่แววทำทุกวันนี้ แววมีความภาคภูมิใจมากกับอาชีพหมอนวด อาชีพที่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวมาได้เป็นเดือน ๆ ที่เราสามารถรอดชีวิตมาได้"

การที่เราต้องอยู่ภายในสังคมที่รอบ ๆ ตัวของเรามีหมอนวดที่แอบแฝงอยู่มากมาย มันก็ทำให้เราเปลี่ยนไปได้เหมือนกันนะ แววก็หวั่นไหวไปตามกระแสของสังคมบ้าง แววก็ท้อแท้เหมือนกันนะ เวลาที่แววเห็นเพื่อน ๆ ได้เงินกันมาง่ายเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่แววก็ไม่ได้มีหน้าตาขี้เหร่อะไรเลย เพียงแค่แววมีอุดมการณ์ในการทำงานของแววเอง แววทำงานของแววให้ดีที่สุดเท่าที่แววจะทำได้ แค่นี้แววก็พอใจแล้วแหล่ะ

การที่เรามีคุณธรรมในสายอาชีพนี้จะทำให้เราต้องเดือดร้อนแค่ไหน แววไม่รู้หรอกนะ แต่แววรู้แค่ว่า "ฟ้ายังมีตา"
ในทุก ๆ เช้่าที่ตื่นนอน แววจะพยายามคิดว่า "ขอให้วันนี้อย่าแย่ไปมากกว่าเมื่อวาน" หรือ "ขอให้พรุ่งนี้อย่าแย่ไปกว่าวันนี้ก็พอแล้ว" เพราะถ้าเมื่อวานเราสามารถผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ มาได้ วันนี้เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ เพียงแต่จะเหนื่อยแค่ไหน อีกเรื่องหนึ่งแค่นั้นแหล่ะ


ตอนนี้เงินที่แววนำไปทำบุญ หรือซื้อกับข้าวไปถวายวัด ทุกบาททุกสตางค์เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงที่แววใช้แรงกายในการแลกเปลี่ยนมา แววไม่ได้หลอกลวงเงินของใคร แววนวดให้ลูกค้าเต็มที่ แววอยากให้ลูกค้าของแววทุกคนหายเจ็บ แววคิดว่า "แค่หวังดีและพยายามทำหน้าที่ของแววให้ดีที่สุด" ในเมื่อแววปรารถนาดี

ทุกวันนี้ แววจึงภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับอาชีพนี้
อาชีพที่คนภายนอกไม่อาจมองออกได้เลยว่า "จริง ๆ แล้ว หมอนวดที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ตามคำสั่งสอนของอาจารย์ยังมีเหลืออยู่ ถึงจะมีเงินมากองไว้ตรงหน้า แววก็คงไม่เอาหรอก ถ้าเงินนั้นแววต้องแลกมากับน้ำตาของตัวเอง แววขอแลกกับเหงื่อของตัวเองดีกว่านะ"


ความภาคภูมิใจมันแตกต่างกันจริง ๆ และแตกต่างกันมาก ๆ ด้วยแหล่ะ
อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนภูมิใจกับงานที่คุณทำนะ
ขอให้ทุกคนยึดมั่นในการทำความดี
และทุกอย่างจะดีเองแหล่ะ
เพียงแต่ปัญหาที่เราจะต้องเจอมันจะทำให้เราเหนื่อย
แต่เราจะต้องผ่านไปได้ใช่ไม๊

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กำลังใจ


เมื่อวานนี้ยังรู้สึกเหมือนชีวิตของแววจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เลยนะ คิดอะไรไม่ออก หาทางแก้ปัญหาก็ทำไม่ได้ แต่พอแววไปที่ร้านของเพื่อน มันก็ทำให้แววมีความสุขมากขึ้นนะ ไม่ได้ไปตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องราวของแววให้เพื่อน ๆ ในร้านฟังหรอกนะ แต่ก็ไปเฉย ๆ ไปนั่งทำรายงานที่อาจารย์สั่ง (เพราะแววเรียนจบคอร์สการนวดราชสำนักและแก้อาการเรียบร้อยแล้ว) ก็จะต้องมีการทำเหมือนแบบสอบถามความรู้สึกของลูกค้าที่มาใช้บริการกับเรา แล้วเค้ารู้สึกอย่างไร มีคำแนะนำไม๊ อะไรประมาณนี้แหล่ะ

ตอนไปที่ร้านแรก ๆ ก็ซึม ๆ เหมือนกันนะ เพราะว่ารู้สึกเหนื่อยมาก ๆ ไม่อยากทำงานเลย ท้อแท้ไปหมดเลยอ่ะ ไม่มีทางออก ปัญหานี้แก้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรดีกว่า ตอนที่ไปที่ร้าน (แววกินยาแก้เครียดไปแล้ว 2 เม็ดนะ) แต่มันทำให้ดีขึ้นหน่อย แววไม่ปวดไมเกรนแล้วก็เลยไปทำรายงานที่ร้าน ส่วนคนอื่น ๆ เค้าก็นั่งคุยกัน แล้วก็ทำพุ่มกฐินด้วย แววได้ช่วยด้วยนะ ในการติดแบงก์ให้พุ่ม (ก็ได้บุญกับเค้านิดหนึ่งละ)

ปรากฎว่าตอนทานข้าวเย็นอยู่ มีลูกค้าคนหนึ่งเค้ามานวด แล้วเค้าบอกว่าขอหมอนวดเก่ง ๆ ซึ่งคงไม่ใช่แววแล้วแหล่ะ (เพราะที่นั่งด้วยกันตอนนั้นมีหมอนวดอาชีพตั้งหลายคน แววยังเป็นมือใหม่สำหรับที่นั่นอยู่เลย) แต่ไม่มีใครนวดพี่เค้า แววก็เลยได้นวด เหมือนเป็นหนทางแห่งบุญมั้งที่ทำให้แววได้นวดเค้า ครั้งแรกก็เกร็ง ๆ นะ เพราะลักษณะของเค้าน่ากลัวอ่ะ แววก็เกรง ๆ เหมือนกัน แต่พอนวดไปสักพักพี่เค้าก็คุยปกติ แววก็เลยงงเหมือนเค้าไม่น่ากลัวเลย

แววได้ข้อคิดจากพี่เค้าเพราะว่าเค้าเป็นทหาร แต่เป็นทหารที่นั่งสมาธิด้วยนะ สวดมนต์ด้วย แต่เค้าเคยไปรบมาด้วยนะ เค้าเล่าให้แววฟัง แววก็เลยเล่าให้เค้าฟังเหมือนกันว่าแววท้อกับสิ่งที่แววทำแล้ว แววถามพี่เค้าว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเค้า เค้าจะหยุดสวดมนต์เหมือนแววไม๊ เค้าตอบว่า "ไม่ เพราะนั่นเป็นมารอย่างหนึ่งที่ทำให้เราท้อแท้" วันนี้แววก็เลยกลับมาสวดมนต์อีกครั้งหนึ่งแล้วค่ะ ปกติก็สวดนะ สวดบ้างไม่สวดบ้าง แต่ก็ต้องสวดให้ได้้ 2-3 ครั้งในหนึ่งอาทิตย์นะ

เค้าให้ข้อคิดแววใหม่หมดเลยนะ
ให้คิดว่าว่าถ้านั่งสมาธิได้จริง ๆ จะเป็นยังไง คือ ความรู้สึกที่ได้รับในขณะที่นั่งสมาธิจะเป็นแบบไหน และให้แนวทางโดยให้แววไปหาพระอาจารย์คุมจิตใหม่ เพราะต้องเป็นอาจารย์ที่เก่งจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแววอาจจะเจอเหตุการณ์เหมือนที่เคยเจอคือ (นั่งสมาธิอยู่ที่บ้านหน้าห้องพระแต่แววจะรู้สึกเหมือนโดนคนเอานิ้วมาทิ่มที่หน้าผากระหว่างหัวคิ้วให้หงายไปด้านหลัง แล้วทุกครั้งแววจะตกใจทุกครั้งนะ เพราะตอนนั้นรู้สึกว่ามันสงบ แต่ตัวของแววมันจะโยกเหมือนตุ๊กตาล้มลุกอ่ะ โยกไปข้างหน้า โยกไปข้างหลัง อยู่แบบนี้แหล่ะแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นแหล่ะ พอถ้าเริ่มโยกแล้วที่นี้สมาธิจะไม่ค่อยอยู่นิ่งแล้่ว เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะต้องเจอแน่ ๆ เลย เป็นอย่างนี้ประจำพอเริ่มโยกสักพักก็จะโดนเหมือนเดิม ผลักไปข้างหลังทำให้แววตกใจทุกครั้ง) พี่เค้าก็แนะนำให้แววไปหาพระอาจารย์ ขอคำแนะนำจากท่าน แล้ว เราจะทำได้ดีกว่านี้

เอานะ
คราวนี้แววก็จะเหมือนเดิม คือ จะไม่ยอมแพ้ ความรู้สึกมันเหมือนกับว่า วันนี้มันดีกว่าเมื่อวานนี้อ่ะ เพราะเมื่อวานนี้แววแทบกระอักออกมาเป็นเลือดเลยนะ ถึงแม้วันนี้จะไม่เงินซื้อนมให้ลูก แต่เดี๋ยวแววจะไปทำงานที่ร้าน ก็คงจะมีลูกค้าบ้างแหล่ะ

ทุกครั้งที่แววสวดมนต์ ตอนนี้แววขอแค่ให้แววได้เจอลูกค้าที่ดี ๆ ขอให้มีโชคลาภบ้าง ให้พอเลี้ยงแม่กับลูกได้โดยที่ไม่เดือดร้อนเหมือนทุกวันนี้ ส่วนเงินที่เหลือแววก็จะเอาไปทำบุญ ซึ่งข้อนี้แววทำอยู่แล้วไง

เงินที่แววได้จากการนวด แววจะแบ่งส่วนหนึ่งไปทำบุญเสมอเลยนะ แผ่บุญกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรของแวว และลูกค้ารวมไปถึงหลานของแววและลูกของแวว แววจะพยายามทำให้ได้บ่อยมากขึ้น เพื่อที่ผลกรรมที่แววทำร้ายเค้ามันจะได้ลดน้อยลง เผื่อสักวันหลานของแวว อาจจะเห็นใจก็ได้

คือตอนนี้ ถ้าทำบุญแล้วจะนึกลูกและหลานตลอดเลยอ่ะ บางทีก็ลืมครูบาอาจารย์ หรือก็ลืมเจ้าที่ที่บ้าน แต่จากวันนี้จะพยายามจำให้ได้ให้หมด และจะพยายามทำให้ทุกอย่างอยู่บนสติให้ได้ แววต้องพยายามอีกมากเลยแหล่ะ เพื่อให้ผลบุญของแววมีประสิทธิภาพและเป็นบุญส่งไปให้เค้าได้มากที่สุด แววยังมีทางอีกไกลให้เดิน

แววต้องทำได้ จริงไม๊

กรรม


แววเคยตั้งความหวังไว้นะ "ถึงแม้แววเหนื่อยกาย ไม่เป็นไรหรอก เพราะถ้าตราบใดแววมีกำลังใจ แววจะสามารถผ่านปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างไปได้แน่นอน"
แววเคยท้อหลายครั้ง
แววเคยเจอปัญหามามากมาย
แต่แววไม่เคยปล่อยให้ชีวิตของแววลอยไปตามโชคชะตาเลยนะ
แต่ก็แปลกเหมือนกันที่ครั้งนี้มันทำให้แววท้อได้แบบ "หมดกำลังทั้งกายและใจเลยทีเดียว"
แววมีแต่ต้องสู้ ถึงแม้จะเหนื่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวพักแววก็จะหายเหนื่อย แต่ถ้าปัญหาที่แววเจอตอนนี้ แววไม่สามารถพักได้เลย ถึงแม้แววเหนื่อยแค่ไหนก็ตามที แววไม่สามารถหยุดพักได้ แววต้องทำงาน แววต้องทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าแววไปทำงานแล้วแววจะมีลูกค้านะ บางทีแววไปตั้งแต่ 4 โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน ไม่มีลูกค้ามานวดเลย แม้สักคนเดียว ขนาดแววไปอยู่ที่ร้านนะ ไปเป็นหมอประจำให้กับทางร้าน แต่แววกับไม่มีลูกค้าเลย
เหมือนมีอะไรมาทำให้ชีวิตของแววไม่สามารถพบเจอทางออกของปัญหาได้อีกต่อไปแล้ว
เคยเจอทางตันไม๊
ทางตันที่ตันจริง ๆ
แววไม่ใช่เด็กอ่อนหัด หรือว่าเด็กอมมือนะ ที่จะไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับชีวิตได้ แต่วันนี้แววแก้ปัญหาอะไรไม่ได้จริง ๆ แววไม่สามารถหันหน้าไปพึ่งพาใครได้อีกแล้วถึงแม้ แววจะมีญาติพี่น้องที่ร่ำรวยมีกิจการเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น แม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของแววก็ตามที เค้ายังไม่ช่วยแววเลย

วันนี้แววอยากพัก วันนี้แววจะไม่ไปนวดที่ร้าน วันนี้แววเหนื่อยแล้ว วันนี้อยากนอน แววกินยาแก้เครียดไปแล้ว สักพักแววก็คงจะหลับได้จริงไม๊ แววเหมือนคนฟุ้งซ่านแล้ว และเริ่มวกไปวนมา เริ่มไม่ค่อยมีสติแล้ว
แววคิดว่า คงเป็นเพราะแววคิดมากเกินไปรึเปล่า ชีวิตของแววถึงต้องเป็นแบบนี้ เพราะชีวิตของแวว แววสู้มาตลอดไง แววไม่เคยท้อ พอถึงวันที่แววท้อขึ้นมา มันถึงหมดรูปได้มากขนาดนี้

55555
สมน้ำหน้าเน๊อะ
ให้เงินเค้าไปทำแท้งแล้วชีวิตของแววตอนนี้มันก็เลยพังพินาศขนาดนี้
ทำบุญไปเท่าไหร่ก็เหมือนทดสอบกำลังใจ
เพราะมันยิ่งไม่มีเงินให้ทำน่ะสิ
แต่ก็ยังทำนะ
ถ้ายังพอมีเหลือบ้าง
ก็จะทำ
เหนื่อยเหลือเกิน กับการชดใช้เวรกรรม
เหนื่อยเหลือเกิน กับการไม่รู้อนาคต
เหนื่อยเหลือเกิน ที่ไม่มีบุญใดสามารถช่วยให้พ้นไปจากอุปสรรคนี้ได้
เหนื่อยเหลือเกิน ที่ชีวิตของเราต้องเป็นแบบนี้อยู่ร่ำไป


มันจะพังได้มากกว่านี้อีกไม๊
ก็คงจะได้มั้ง
เพราะตอนนี้ก็เหลือแค่ชีวิตของคนที่แววรักเท่านั้นแหล่ะ ที่แววยังมี นอกนั้นเวรกรรมเอาไปหมดแล้ว
เพราะบุญของแววมันไม่พอที่จะชดใช้ให้กับเวรกรรมยังไงล่ะ แววถึงต้องมาเป็นแบบนี้
หากแววทำบุญมาเพียงพอ แววคงไม่ต้องมาเจอกับปัญหาบ้า ๆ แบบนี้หรอก
แต่วันนี้มันแทบไม่เหลือทางให้แววได้ทำบุญเลยจริง ๆ มันหมดแล้ว ทางจะให้เดินก็เหลือแค่เพียงก้าวได้เท่านั้น เหมือนเดินในซอกตึกที่ไม่มีทางได้เปลี่ยนท่าเดินเลยอ่ะ ต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่มีทางออก เดินไปในทางแคบ ๆ ไม่สามารถถอยหลังได้ และไม่สามารถหาอนาคตเจอเช่นกัน มันคงจะเป็นอย่างนี้ไปจนกว่าชีวิตของแววจะจบล่ะมั้ง
บุญของแววไม่พอให้ชดใช้คืนเค้า แววก็ต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้
นี่ยังดีนะ ที่บุญรับไปบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นนะ
หนักกว่านี้อีกเพียบ

เฮ้อ
เหนื่อย
อยากเจอทางออกจัง
อยากมีแสงสว่างนำทางจังเลย

ผลของกรรม


เมื่อ 2 วันก่อนคงมีหลาย ๆ คนได้อ่านข่าวเกี่ยวกับการทำแท้งเถื่อนที่มีการพบศพเด็กทารกเป็นจำนวนมากถึง 300 กว่าศพ และพบในภายหลังอีกกว่า 2000 ศพ
หลังจากที่แววได้อ่านฟังข่าวนี้
มันทำให้แววได้รู้สึกเลยนะว่า สิ่งที่แววเจออยู่ สิ่งที่ทำให้แววท้อแท้ สิ่งที่ทำลายชีวิตของแววทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากอะไร?
แววไม่เคยทำแท้ง แต่แววเคยให้เงินน้องชายไปทำ
แววไม่เคยคิดหรอกนะว่า "สิ่งที่เราทำตอนนั้น มันจะมีผลมาถึงปัจจุบัน เพราะเหตุการณ์มันผ่านมานานมากแล้ว แต่หลังจากบวชชีพราหมณ์ออกมา มันทำให้แววได้รู้สึกและสำนึกในสิ่งที่แววได้ทำกับเค้า แววเกือบลืมเค้าไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมาดลใจทำให้แววรู้สึกว่า แววต้องทำบุญไปให้หลานของแวว และทำบุญไปให้ลุกของแววด้วยเช่นเดียวกัน"

แววรู้ว่าสิ่งที่แววทำมันผิด
"แววให้เงินน้องชายไปทำแท้ง ซึ่งตอนนั้นอายุครรภ์ประมาณ 6 เดือนกว่าแล้ว เด็กมีแขนขาแล้ว ถ้าถามแววว่าตอนนั้น แววกลัวเวรกรรมไม๊ แววตอบได้เลยนะ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าอนาคตของน้องชายหรอก เพราะเค้าเพิ่งอายุไม่ถึง 20 ปีเลย ถ้าหลานคลอดออกมาแล้วอนาคตล่ะ จะเป็นอย่างไร แววมีเหตุผลที่ให้เงินเค้าไป แถมแววยังไปเป็นเพื่อนอีกนะ"
และผลกรรมหลังจากที่แววทำมันก็เหมือนติดจรวดจริง ๆ เลยอ่ะ

แววเลิกกับแฟนคนแรกของแวว หลังจากเหตุการณ์วันนั้นไม่ถึงหนึ่งเดือนเลย และก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่มันแย่ ๆ เกิดขึ้นมาในชีวิต แต่ตอนนั้นแววก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่า "เกิดจากการที่เราไปทำให้เค้าตาย" แววคิดแต่ว่า "มันเกิดจากการกระทำของแววเอง มันเหมือนมีอะไรมาดลใจให้แวว อยากไปเที่ยว ไม่อยากไปเรียนหนังสือ เข้ากับคนอื่นยาก แววเบื่อ ตอนนั้นแววมีเงินนี่นา แล้วแววจะกลัวทำไมล่ะ แววก็เที่ยว ไม่สนใจเรียน ไม่กลับบ้าน ผลสุดท้ายแววก็เรียนไม่จบ ทั้ง ๆ ที่แววเป็นคนเรียนดีคนหนึ่งเลยนะ แววสอบติดในสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แววไปเรียนได้แค่ 2 ปีเท่านั้นแหล่ะ ที่เหลือชีวิตของแววเหมือนกากเดนของสังคมน่ะ เพียงแค่ไม่เป็นภาระให้คนอื่น แต่เอาตัวเองให้รอดไปเป็นวัน ๆ เท่านั้นเอง"

พอผ่านไป 3 ปี "แววตั้งท้องลูกคนแรก แต่พอท้องได้ 3 เดือนครึ่งเค้าก็ตายไปในท้องของแวว แบบไม่มีสาเหตุ หมอบอกว่าการที่แววทะเลาะกับสามี มันไม่ได้กระทบกระเทือนถึงลูกในท้อง แต่ลูกของแววตายไปเอง"
เชื่อไม๊?
ตอนนั้นแววรู้สึกเหมือนโลกใบนี้มันกลวง ตัวแววมันเบาโหวงเลยนะ และที่สำคัญแววนอนร้องไห้เงียบ ๆ แต่น้ำตาแววไม่เคยหยุดไหลเลยตลอดเวลา ที่ลูกยังอยู่ในท้องของแวว ขนาดหมอเหน็บยาเร่งคลอดให้เด็กออกแล้วนะ แต่ลูกของแววก็ไม่ออก เค้าตายอยู่ในท้องของแววเกือบ 2 อาทิตย์ แต่แววก็ยังหลอกตัวเองว่า ลูกยังอยู่กับแวว ลูกยังไม่เป็นไร ความรู้สึกของแววนะ เหมือนมีใครมากระชากหัวใจออกไปเลยแหล่ะ แววเสียใจมาก ๆ เลยกับการที่แววต้องเสียลูกของแววไป

ทุกวันนี้แววยังจำหน้าของเค้าได้อยู่เลยนะ เค้าหลุดออกมาในเช้าของวันที่หมอนัดว่าจะผ่าออก เพราะเลือดของแววเริ่มไม่แข็งตัวแล้ว ถ้าหากมีการตกเลือดขึ้นมาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ตอนนั้นแววคิดว่าถ้าตายก็ตายเถ่อะ แววไม่อยากอยู่แล้ว แววเหนื่อยเหลือเกิน พอหมอบอกว่าพรุ่งนี้จะต้องผ่าเด็กออกนะ "แววก็อธิษฐานในใจบอกกับลูกว่า ลูกจ๋า! หนูคงไม่อยากให้แม่เจ็บใช่ไม๊ลูก ถ้าเป็นอย่างนั้น หนูก็ออกมาเถ่อะนะ แววบอกกับลูกอย่างนี้ตอนก่อนนอน เพราะหมอให้แววอดน้ำและอาหารตั้งแต่ 2 ทุ่มแล้ว"

แววเริ่มปวดท้องฉี่บ่อยมากตอนประมาณตี 4 เหมือนจะปวดเข้าส้วมประมาณนั้น แรก ๆ ก็เดินไปเข้าห้องน้ำจากชั่วโมงละครั้ง ก็เริ่มถี่ขึ้น แววเดินอยู่อย่างนั้นจนใกล้เวลาที่พยาบาลเค้าจะมาเปลี่ยนเวรกันแล้วแหล่ะ พอจะไปเข้าห้องน้ำอีกครั้งหนึ่งปรากฎว่ามีเสียงแตกดัง"โพล๊ะ"

ด้วยความตกใจแววก็เลยเอามือไปคว้าตัวลูกไว้อ่ะ แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนเตียง และก็มองหน้าลูก เค้าตัวยาวเลยมือแววอีกนะ หน้าตาเหมือนรูปปั้นแกะสลักที่อยู่ในห้องศิลปะที่ไม่มีแขนอ่ะ ตาของเค้าเป็นรอยกรีด มีจมูกและปากแล้วด้วยนะ มีแขน มีขา มีผิวหนังที่ยังใสอยู่เลย ตัวลูกของแววซีดมาก ๆ แต่เค้าไม่ได้เน่านะ และก็ไม่เละ แววนั่งดูเค้าอยู่ "เหมือนเวลาจะผ่านไปนานมาก ๆ เลยนะ นานพอจะทำให้แววจดจำเค้าได้จนถึงทุกวันนี้"

แม่ยังจำลูกได้เสมอนะ คนดีของแม่

และพอเมื่อวานแววไปดูดวงกับพี่สาวของแวว "พี่คนนี้เค้าเป็นหมอดูที่เก่งมาก ๆ เลยอ่ะ เค้าดูอะไรไว้เนี่ย มันจะเกิดขึ้นจริงทั้งนั้นเลย และที่สำคัญนะ พี่เค้าไม่รู้ว่าทำไมแววถึงดวงตก เกิดขึ้นจากอะไร เพราะอะไร เนื่องจากแววเป็นคนที่ทำบุญสม่ำเสมอ สวดมนต์ ไหว้พระ ก็ถือว่าเป็นคนดีในระดับหนึ่งก็ว่าได้ แต่เกิดอะไรขึ้น ทำไมแววถึงเป็นแบบนี้ เมื่อวานได้ไปคุยกับพี่เค้า และเราก็เลยลองถามพี่เค้าเรื่องนี้ดู"

เค้าบอกว่าที่แววต้องสูญเสียลูกของแววไป เพราะหลานของแววเค้ามาเอาไป และทุกวันนี้สิ่งที่แววเผชิญหน้ากับทุกปัญหา นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "เวรกรรม"

แววเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาเยอะนะ แววใช้ระยะเวลาของแววที่ผ่านมาเกือบทั้งชีวิตของแววจะวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องของ "เวรกรรม" แต่มากันในหลาย ๆ รูปแบบ มาจนแววเหนื่อยแล้วในวันนี้ แววไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว แววเหนื่อยเต็มที แววอยากจะถามหลานของแววเหลือเกินว่า "ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับป้าตอนนี้มันเกิดขึ้นมาจากหลาน จากความอาฆาตพยาบาทของหลาน ป้าควรทำยังไง ให้หลานให้อภัย ป้าไปบวชให้หลานแล้ว ป้าทำทุกอย่างที่ป้าพอจะทำได้ให้หลานไปแล้ว หลานต้องการอะไรเหรอ หลานต้องการชีวิตของป้าด้วยไม๊ ป้ารู้ว่าสิ่งที่ป้าทำมันเป็นการทำร้ายหลาน โดยที่ป้ารู้ว่ามันผิด แต่เพื่ออนาคตของพ่อของหลาน จะให้ป้าทำยังไงเหรอ ป้าไม่รู้ ว่าบุญกุศลที่ป้าทำมันจะส่งไปถึงหลานไม๊ ป้าไม่รู้ว่าหลานอาฆาตป้าแค่ไหน ป้าควรทำอย่างไรดี ถ้าจิตของหลานสามารถสือมาถึงป้าได้ ช่วยดลจิตดลใจให้ป้า หาทางออกให้ได้ ให้ป้ามีหนทางที่จะทำให้หลานของป้ามีความสุข ให้หลานได้สะสมบุญไปพร้อม ๆ กับป้าและลูกคนแรกของป้า ให้ป้าได้ทำบุญไปให้เพื่อเป็นฐานของบุญให้หลานของป้าและลูกของแม่ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป"

วันนี้แววเหนื่อยเหลือเกิน แววอยากจะหลับ บางครั้งแววอยากจะตายไปซะด้วยซ้ำไป แววหาทางออกไม่เจอเลยจริง ๆ ถึงแม้ว่าแววจะมีพระพุทธศาสนาอยู่ในใจมาตลอด การฆ่าตัวตายมันเป้นบาปมหันต์ แต่ถ้าบุญที่เราทำไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้เลย แล้วเราควรทำอย่างไรดี?

แววรู้นะ "ปัญหามีไว้แก้ไข แต่สำหรับผู้หญิงคนเดียว ที่ไม่ได้มีสามีเป็นผู้นำทางของชีวิต และมีภาระที่ต้องดูแล มีแม่และมีลูกชายที่ต้องดูแล แต่แววไม่มีทางหาเงินมาเลี้ยงดูได้ แววไม่สามารถหยุดทำงานได้ วันไหนที่แววหยุดวันไหน จะไม่มีเงินมาใช้จ่ายในบ้าน"
ในวันนี้ ปัญหาเหล่านี้สำหรับแววมันอาจหนักเกินไปก็ได้นะ มันอาจจะมากเกินกว่าที่แววจะแก้ไขมันได้ด้วยพระพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธศาสนายังอยู่ในใจของแววเสมอมา และคงอยู่ตลอดไป แววสำนึกในทุกครั้งที่แววทำบาป แต่เวรกรรมแบบนี้มันหนักเกินไปรึเปล่า แววไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์หรือต่อรองใด ๆ กับใครทั้งสิ้น เพราะแววทำตัวเองใช่ไม๊

หลานของแววคงไม่มีวันให้อภัยแวว
ชีวิตของแววถึงต้องเจอแต่ปัญหาและเวรกรรมทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งมวลที่เข้ามาขนาดนี้ใช่ไม๊
แววรู้ถึงที่มาแห่งความทุกข์ แต่แววไม่สามารถหาหนทางแห่งการดับทุกข์นี้ได้ เพราะแววไม่มีแรงเหลือที่จะทำความดีหรือบำเพ็ญบารมีต่อไปอีกแล้ว แววเหนื่อยเหลือเกิน แววอยากหลับ

แววเคยขอนะ "ขอเทพ ขอเทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยแววด้วย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย พอแววเริ่มอยู่ตัวทุกอย่างมันก็ประดังเข้ามาเหมือนพายุ เหมือนน้ำป่า แล้วแววจะมีกำลังใจได้อย่างไร ท่านไม่ใช่ไม่ช่วยนะ แต่อาจจะเป็นเพราะเวรกรรมของแววมากเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้แล้วมั้ง ชีวิตถึงต้องเป็นแบบนี้"

"สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เพิกเฉย แต่ท่านช่วยแววได้แค่นี้ เพราะบุญของแววมีแค่นี้ บุญที่แววทำมามันส่งผลให้แววได้แค่นี้ แววจึงไม่สามารถผ่านเวรกรรมนี้ไปได้ เวรกรรมครั้งนี้มันหนักเหลือเกิน แววพบ "ปัญญาทางสว่างแห่งการดับทุกข์" แต่แววไม่เหลือแรงที่จะดำเนินไปตามทางนั้นแล้ว
ชีวิตของแววชาตินี้อาจะเกิดขึ้นมา เพื่อค้นพบแค่นี้รึเปล่า

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผลของการทำความดี


ถึงแววจะเหนื่อยนะ สำหรับอุปสรรคปัญหาทั้งหลายที่แววต้องเจอในขณะนี้ แต่แววก็ยังไม่ท้อถอยนะ
แววก็ยังทำความดีต่อไปเรื่อย ๆ เพียงแต่แววอาจจะไม่ได้ทำเยอะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เพราะในตอนนี้แววหาเงินมาได้เพียงเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อน
เพียงแต่สิ่งที่แววได้รับตอบแทนจากการประกอบสัมมาอาชีวะนั้น มันคุ้มค่ามาก ๆ เลยนะ
เพราะผลของการทำความดี ทำให้ในวันนี้ "แววสามารถนั่งสมาธิได้แล้ว"
แววเคยพยายามที่จะนั่งสมาธิมาตลอดเลยนะ
เพราะแววเชื่อว่า การภาวนา คือ การทำความดีขั้นสูง
หากฐานบุญของผู้ที่ต้องการจะทำนั้นไม่แน่นพอ ก็คงจะทำไม่ได้
แต่ในช่วงที่แววลำบาก
แววสามารถทำได้แล้ว
"จิตใจของแววไม่ฟุ้งซ่านอีกแล้วนะ"
"แววสามารถนั่งสมาธิได้แล้ว"
"แววรู้จักกับคำว่า พอ"
สิ่งเหล่านี้แวว คิดว่ามันน่าจะสำคัญ มากกว่าเงินทองภายนอกนะ
แต่ไม่ได้หมายความว่า เงินไม่สำคัญนะ
สำหรับแววเงินก็ยังสำคัญมากเช่นกัน แววถึงต้องทำงานยังไงล่ะ
แววทำงานวันหนึ่ง เกือบ 18 ชั่วโมงเลยนะ แต่แววก็ยังประสบพบเจอกับปัญหาเรื่องการเงินอยู่เช่นเดิม
ไม่รู้สิ
แววไม่ได้อดอยากนะ เพียงแต่แววไม่มีเงินเหลือ
เหมือนฟ้าก็ยังมีตา ชี้ทางให้เราได้ทำ และสิ่งเหล่านี้มันคือสิ่งที่ถูกที่ควร
แววอยากทำให้ได้ดีกว่านี้
แววอยากทำให้แม่ของแวว "สุขสบายนะ" แต่แววทำได้แค่นี้
แววยังมีความพยายามอยู่ แวจะไม่ท้อหรอก
เพราะวันนี้ แววยังมีงานทำ แววยังมีวิชาความรู้ในการนวดอยู่กับตัว
ที่สำคัญแววยึดมั่นในความถูกต้องของศีลธรรมมากมั้ง
ทำให้แววไม่ค่อยมีเงินเหมือนเพื่อน ๆ น่ะ

วันนี้แววอยากจะบอกให้เพื่อน ๆ หลายคนรู้นะ
"การทำความเป็นเรื่องที่ยากสำหรับแววนะ แต่แววก็ยังเดินหน้าที่จะทำต่อไป แววจะค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อที่จะทำความดี แววจะไม่รีบอีกแล้ว และผลของการทำความดีในอดีต ทำให้วันนี้ แววสามารถ ทำความดีขั้นสูงได้ แววสามารถนั่งสมาธิได้แล้ว"
แววอยากให้เพื่อน ๆ รู้นะว่า
ความดีเป็นเรื่องยากก็จริง แต่เราสามารถเอาชนะได้ ด้วยความเพียร
และผลของการทำความดีรอให้เพื่อน ๆ ได้สัมผัสอยู่
ลองดูนะ

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สวดมนต์


แววสามารถบอกให้เพื่อนหรือคนที่แววรู้จัก ไปทำบุญ หรือชวนคนเหล่านั้นมาสวดมนต์ได้นะ
แววสามารถบอกให้หลาย ๆ คนเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับความเชื่อที่ผิดได้
แต่แววไม่สามารถทำให้ตัวเองมีความสม่ำเสมอในการทำบุญ หรือแม้แต่การสวดมนต์ แววก็ไม่สามารถทำให้เป็นเรื่องที่สม่ำเสมอไม่ได้ แววคงไม่ใช่คนดีอีกแล้วมั้ง
เพราะช่วงที่แววสวดมนต์เยอะ ๆ แววจะพยายามมาก ๆ เลย เวลาสวดมนต์แววไม่มีความสุขหรอกนะ แววจะระวัง จะกลัวว่าจะมีใครมาทำให้เสียสมาธิรึเปล่า แต่ก็มีบ่อยนะที่การสวดมนต์ของแววทำให้แววมีจิตใจที่สงบเยือกเย็นและมีสติมากขึ้นจริง ๆ แต่ช่วงหลังมา หลังจากที่แววไปบวชชีพราหมณ์มา 3 วัน (แววพาลูกชายกับแม่ไปอยู่ด้วยกันที่วัดด้วย) แววตั้งใจไว้แล้วว่าแววจะไม่หยุดสวดมนต์ แววจะสวดมนต์ให้ได้ทุกวัน แต่สุดท้ายแววก็ทำไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไม๊

เพราะแววสวดมนต์ทุกวัน ฐานะทางการเงินของแววก็แย่ลง แย่ลง แย่ลง จนไม่มีเงินเหลือในบ้านเลยแม้แต่ 1 บาท แววเอาเงินเหรียญบาทไปซื้อกับข้าวมาทำให้แม่กับลูกกิน ไม่มีลูกค้ามานวดที่บ้านของแววเลย ไม่มีลูกค้าไปนวดที่ร้านที่แววทำงานด้วยเหมือนกัน นมของลูกหมด แววก็ไม่มีเงินไปซื้อนมให้ลูก แววต้องไปขอยืมพี่คนหนึ่ง ซึ่งเค้าเป็นลูกค้าของแววให้เค้าช่วยหน่อย พี่เค้าก็ดีนะ ช่วยเหลือให้แววยืมเงิน ก็เลยรอดตัวไป ลองคิดดูนะ "ถ้าคุณมัวแต่สวดมนต์ แต่คุณไม่มีเงิน แล้วคุณมีภาระรอคุณอยู่ข้างหลัง คุณจะทำยังไง" แววรู้สึกว่าใจของแววไม่บริสุทธิ์แล้วสำหรับการสวดมนต์ เพราะแววสวดมนต์แล้วแววเครียด แววโมโหใส่แม่ของแวว และใส่อารมณ์กับลูก แววก็เลยเริ่มมองว่ามันไม่ใช่แล้วแหล่ะ แววเริ่มรู้สึกผิดในสิ่งที่แววได้ทำกับแม่และลูก แววก็เลยเริ่มมองใหม่ ลองคิดใหม่ดู ว่าถ้าใจของแววยังไม่พร้อม แล้วใจของแววไม่บริสุทธิ์ ถึงแม้แววจะเสียดายเวลา 21 วันที่แววสวดมนต์มา แต่แววคิดว่าระยะเวลาทั้งหมดที่แววสวดมนต์มานั้น คงไม่มีความดีอะไรเลยมั้ง เพราะมันเป็นการเพิ่มทุกข์ให้ตัวเองอ่ะ และแววก็ทำให้แม่ไม่มีความสุขด้วย แววก็เลยหยุดก่อน ตอนนี้อาศัยสวดมนต์ระหว่างทางที่ไปเรียนการนวดแบบราชสำนักที่โรงเรียน (อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 10 กิโลเมตรได้มั้ง ก็ดีนะ สวดแล้วเหมือนปลดปล่อย ไม่รู้นะว่าวิธีนี้จะได้บุญไม๊ แต่รู้สึกสวดมนต์แบบนี้แล้วมีความสุข)

ตอนนี้แววอาศัยอย่างเดียว คือ ทำยังไงให้จิตใจของแววบริสุทธิ์ พยายามจะวางใจให้เป็นกลางนะ ไม่โมโห ไม่ใส่อารมณ์ มองอะไรรอบ ๆ ตัวของแววที่แววต้องเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ มันคือเวรกรรมของแววเอง มันคือสิ่งที่แววได้เคยทำไว้กับคนเหล่านี้ ในอดีต ในวันนี้แววก็เลยต้องมาชดใช้ให้เค้าน่ะสิ แววพยายามจะไม่ก่ออารมณ์ให้มัวหมองนะ เพราะมันจะยิ่งทำให้แย่ลงไปมากกว่าเดิมอีก

ตอนนี้แววขอทำความดีกับพระอรหันต์ในบ้านของแววก่อนนะ "แม่ของแวว"
แววไม่อยากทำให้แม่เสียใจอีกแล้ว
ทุกวันนี้แววก็ทำให้แม่ต้องมาลำบากกับแวว
ชีวิตของแววเกิดมาไม่เคยทำให้แม่มีความสุขเลย แววทำให้แม่ทุกข์ตลอดเลยอ่ะ
แล้วทำไมแววจะต้องไปขวนขวายหา "พระ" นอกบ้าน ด้วยล่ะ
ในเมื่อ "พระในบ้าน" แววยังไม่สามารถทำให้ท่านมีความสุขได้เลย
งานที่แววทำก็ไม่ประสบความสำเร็จ
เงินที่ได้มาก็ไม่เคยพอที่จะใช้จ่ายในบ้านเลย
แต่แววมีความสุขนะ เพราะเงินทุกบาทที่ได้มา มันเกิดขึ้นมาจากความพยายามของแวว มันคือหยาดเหงื่อแรงงานของแวว ถึงแม้มันจะน้อยมาก ๆ เลยเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่แววได้ใช้ไปเมื่อก่อน เทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
วันนี้แววมีความสุข อยู่บนคำ ๆ เดียว คือ "พอเพียง" แววได้รู้จักแล้วกับคำ ๆ นี้
วันนี้มี พอสำหรับพรุ่งนี้ แค่นี้แหล่ะ ที่ขอให้ได้เจอในแต่ละวัน
แววไม่ขอมากไปกว่านี้หรอก ถ้าได้มากหน่อยก็ดีจะได้เอาไปใช้หนี้ให้หมด ๆ ไป แล้วทีนี้แววก็จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้แล้วแหล่ะ

แต่ชีวิตของเรามีอุปสรรคไว้ให้เราผ่านมันไปให้ได้ใช่ไม๊
แววก็ต้องผ่านอุปสรรคนี้ไปได้เหมือนกัน
แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้น คงไม่มีใครตอบได้
แววก็ท่อง "คำขออโหสิกรรมทุกวันนะ" "แผ่เมตตาให้ตัวเอง" "แผ่เมตตาให้สัตว์" "แผ่ส่วนกุศล" อันนี้จะพยายามทำให้ได้ทุกวัน เผื่อเจ้ากรรมนายเวรของแววจะสงสารแววบ้าง เปิดทางให้แววได้ประสบความสำเร็จกับชีวิตกับเค้าบ้างสักครั้ง
อันนี้คือความฝันเล็ก ๆ น้อยอ่ะนะ แต่คงยากที่จะเป็นจริง
เพราะแววเคยอ่านหนังสือ เค้าบอกว่า ขอให้ประสบความสำเร็จ กับ รวย เนี่ย เป็นคำขอที่เป็นผลได้ยากมาก ๆ เลยแหล่ะ พอแววได้รู้อย่างนี้แล้ว แววก็เลยไม่ค่อยอยากหวังหรอก แค่แอบมีนิด เผื่อฟลุ๊ก 555

อย่าให้พรุ่งนี้ แย่กว่าวันนี้ก็พอแล้ว
แววขอให้พรุ่งนี้แววมีลูกค้าก็พอแล้วแหล่ะ
ต่อให้ลูกค้าเยอะแค่ไหน
จากวันนี้แววจะไม่งอแง จะไม่ท้อถอย
เหนื่อยงานแล้วมีเงิน
ดีกว่าเหนื่อยใจ แล้วไม่มีเงิน
แววจะทำให้ได้
แววจะพยายาม
ขอแค่ให้แววมีลูกค้าเถ่อะ

ความดี


เคยคิดไม๊ว่า
"ชีวิตนี้ของเราจะได้สุขสบายเมื่อไหร่กัน"
"สิ่งที่เราทำอยู่ในทุกวันนี้มันถูกจริง ๆ เหรอ"
"รู้ไม๊ว่าการทำความดีมันยากมาก ๆ เลยนะ"
"เพราะสุดท้ายแล้วคุณจะแพ้ใจคุณเอง"

การทำความดีขึ้นอยู่กับจิตใจของคุณเป็นสำคัญที่สุดเลยแหล่ะ ขนาดว่าตัวแววเองที่คิดว่าตัวเองมั่นคงแล้ว และจะไม่หวั่นไหวต่อกิเลศหรือเครื่องเหนี่ยวนำจิตใจให้ตกต่ำลง แววเคยคิดไว้นะ ว่าแววจะไม่หวั่นไหวอีกต่อไปแล้ว แววจะเดินหน้าเต็มที่เพื่อที่จะทำความดีต่อไป แววพยายามสวดมนต์ให้ได้ทุกวัน แววทำได้ติดต่อกัน 21 วัน และสุดท้ายแววก็ล้มเลิก เพราะในระหว่างที่แววทำนั้น แววไม่มีเงินเลยจริง ๆ ไม่มีแม้แต่ลูกค้าจะมานวดที่บ้าน หรือไปที่ร้านของเพื่อนก็ไม่มีลูกค้าไปนวดเหมือนกัน แววคิดว่าถ้าในวันนี้แววเดินหน้าทำความดีเต็มที่ แต่แววไม่มีเงินมาซื้อนมให้ลูกกิน และไม่มีเงินมาซื้อกับข้าว ซื้อยาให้กับแม่ แววควรจะทำไม๊ แววอยากถามเพื่อน ๆ ว่า "ถ้าเพื่อน ๆ เป็นแวว เพื่อน ๆ จะทำยังไง"

แววไม่ได้ลำบากแบบนี้เป็นครั้งแรก และนี่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่ทุกอย่างที่แววต้องประสบพบเจอในวันนี้ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นมาจาก "ความประมาท" ขนาดแววเคยเจอเรื่องที่ร้าย ๆ มาหลายเรื่องแล้วนะในชีวิตที่เกิดมาจนถึงทุกวันนี้ แต่แววก็ยัง "พลาด" เพราะอะไร "เพื่อน ๆ รู้ไม๊?"

เพราะแววประมาท หลงอยู่ในความสุขสบาย คิดแต่ว่าสิ่งที่แววเจอมันคือความสุข และความสุขเหล่านี้จะยั่งยืนต่อไป เหมือนตอนก่อนที่แววจะหนีออกจากบ้านเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว บ้านของแววไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว แววกลับมาที่บ้าน แต่เชื่อไม๊ว่าบ้านที่แววเคยเติบโตมา ได้ถูกขายออกไปแล้ว พี่น้องของแววทุกคนที่โตมาด้วยกัน แยกย้ายกันออกไปจากบ้าน ทุกคนไปเผชิญหน้ากับเวรกรรมในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่แววคิดว่ายังไงแววก็จะต้องรอด เพราะแววเป็นลูกของป๊านี่นา ป๊าคงไม่ทิ้งแววหรอก แต่แววลืมคิดไปนะว่า "วันนี้แววมีลูก แววมีสามีแล้ว แววไม่ใช่คน ๆ เดียวอีกแล้ว" ป๊าไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวของแววได้"

และแววก็ลืมตัว ลืมความทุกข์ ลืมความลำบาก ลืมความเศร้า ลืมอดีต ที่แววเคยเจอมา แววลืมหมดเลย เพราะแววมีความสุขยังไงล่ะ ความสุขที่จอมปลอม ความสุขที่หลอกให้เราพลั้งเผลอและประมาทในการดำรงชีวิต และแววก็เดินลงไปในหลุมของความประมาทเต็ม ๆ เลย

วันนี้แววขอทำความดีแค่พอประมาณ ไม่มากเกินไป ไม่บังคับจิตใจของเรามากเกินไป
แววคิดนะว่า "การทำความดี ควรเริ่มต้นที่จิตใจของเราก่อนดีกว่า ถึงแม้จิตใจของแววมันอยากจะร้องตะโกนเหลือเกินว่าอยากไปทำบุญมาก ๆ เลยนะ อยาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อยากแบบสุด ๆ เลยแหล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แต่แววจะต้องทำบุญนะ ยังไงก็ต้องทำ ไม่มากก็น้อยแหล่ะ แต่ต้องทำ
แววเป็นแค่บุคคลธรรมดา แววไม่ได้มีบารมี แววไม่ได้มีญาณวิเศษ แววไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แล้วแววจะไปช่วยเหลือใครได้ล่ะ แววจะพยายามเพียรทำความดีได้อย่างไร ถ้าในวันนี้แววยังต้องประสบพบเจอกับเรื่องพวกนี้ แววต้องทำงาน หาเงิน มาซื้อนม ซื้อข้าว ให้ตัวแววเอง ให้ลูกและแม่ของแวว แล้วถ้าแววต้องเจอกับการไม่มีลูกค้ามานวดตลอด แววควรทำยังไงล่ะ
แววไม่มีเงินซื้อของเข้าบ้าน แววไม่มีเงินซื้อขนมให้ลูก ใครจะช่วยแววล่ะ
เพราะสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่เจ้ากรรมนายเวรชอบที่สุด คือ เราท้อ ที่จะทำความดี
ใช่แล้วแหล่ะ วันนี้แววท้อแล้วกับการทำความดี แต่แววยังไม่ได้ถอยนะ เพียงแต่แววขอหยุดความดีไว้ในตำแหน่งนี้ไปสักพัก ก่อนที่แววจะเริ่มเดินหน้าพยายามอีกครั้ง แววขอยืนตรงนี้ให้มั่นคงก่อนนะ แววกลัว กลัวว่าพรุ่งนี้มันจะแย่กว่าวันนี้ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แววคงหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้จริง ๆ


แววอยากเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ หลายคนที่ทำความดีนะ อย่าท้อแท้ อย่าท้อถอย ถ้าเราล้มเราสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้ แต่เราอาจจะต้องใช้เวลากับการลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มันไม่ง่ายหรอก แต่แววเชื่อมั่นว่าทุกคนมีความดีในตัว เราสามารถลุกขึ้นได้แน่นอน เพียงแต่ต้องใช้เวลา

แววก็กำลังใช้เวลาเหมือนกัน
พยายามด้วยกันนะ
เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คนนะ
ทุกวันนี้ ชีวิตของแววอุทิศให้กับคนสองคนนี้จริง เพื่อแม่ และเพื่อลูก คนที่รักแววมากที่สุดในชีวิต และไม่เคยทำร้ายแววเลย ความดีทุกอย่างที่แววจะได้รับจากการเผยแพร่บทความจากประสบการณ์จริง ๆ ของชีวิตแวว จากทุก ๆ ความดีที่แววได้ทำ แววขออุทิศให้กับ คุณกัลยาณี เบญจโศภิษฐ์ และเด็กชายณัชนันท์ แก้วสุทธา รวมไปถึงเจ้ากรรมนายเวรและบรรพบุรุษของบุคคลทั้งสองนี้ด้วย ขอท่านทั้งหลายมาร่วมอนุโมทนาบุญกับข้าพเจ้าด้วย

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันที่ลาจาก


และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราทะเลาะกับสามี ก็ไม่เชิงนะถ้าจะเรียกว่าทะเลาะ แต่เอาเป็นว่าเค้าด่าว่าเราฝ่ายเดียวละกัน เพราะตัวเราทำผิดเต็มประตู เราก็เลยไม่เถียง แต่ก็ดีนะที่มีการทะเลาะครั้งนี้เกิดขึ้น มันทำให้เราตาสว่างขึ้นเลยแหล่ะ ก่อนที่เค้าจะออกไปจากบ้าน เรากำลังจะลงมาเรียกเค้า ขอร้องให้เค้าอยู่ แต่เรากลับได้ยินเสียงเค้าคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ ผู้หญิงคนที่เค้าบอกกับเราว่าเลิกแล้ว กล้าสาบานว่าเลิกกันแล้ว เค้าพูดว่า
"เค้าจบแล้วนะ ตัวเองจะเชื่อไม๊ เค้าไม่มีเงินเลย ตัวเองเอาเงินออกมาให้เค้าหน่อยได้ไม๊ เค้าไม่เอาบัตรหรอก ตัวเองออกมากดเงินให้เค้าหน่อยสิ อืม ต่างคนต่างอยู่ดีแล้วแหล่ะ"
อืม
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ "คุณจะทำยังไง"
เราอึ้งไปเลยนะ แล้วก็งงเหมือนตัวเองไม่รู้ตัว เหมือนเบลอ ๆ งง ๆ เราก็เลยเดินออกมาให้เค้าเห็นนะว่า เรารู้นะ เค้าจะได้ไม่ต้องโกหกหลอกลวงเราอีกไง แล้วก็ไปส่งเค้าออกจากบ้าน เค้าถามว่า
"ขอยืมรถไปก่อนได้ไม๊ พรุ่งนี้จะเอามาคืน"
"เราก็ตอบไปว่า ได้" แล้วเค้าก็จากไป
เราร้องไห้นะ ร้องแบบว่าเหมือนเราโง่อ่ะ เหมือนเราถูกหลอกตลอดเวลาที่เค้าอยู่ที่บ้านเค้าทำเหมือนกับว่าเค้ารักเรา เค้ารักลูกมาก แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย เค้าโกหกเรา เค้าหลอกลวงเรา เค้าทำให้เราเชื่อใจเค้าอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เรารู้อยู่เต็มอกนะว่าเค้ายังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมเมื่อถึงวันที่เราต้องเผชิญหน้ากับความจริง เรากลับแทบขาดใจขนาดนี้ เรารู้สึกเหนื่อย เรามองไม่เห็นอนาคตเลย เราจะอยู่ยังไง ในใจเรายังแอบหวังให้เค้ากลับมานะ แต่ถ้าไม่มายังไงเราก็ต้องผ่านไปได้จริงไม๊
เรากินยาคลายเครียดตลอดเลยนะ เค้าไปจากเราตั้งแต่วันอาทิตย์จนถึงทุกวันนี้เรากินทุกวันเลย เราตื่นมากินข้าวแล้วก็กินยานอนหลับ เราไม่อยากคิด เราอยากจะฝัน ฝันต่อไป เราไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริง
แต่ไม่เป็นไรแล้วนะวันนี้เราดีขึ้นแล้ว เราถึงสามารถเขียนบทความนี้ได้ไง เรากำลังจะยืนขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วยตัวของเราเอง เราต้องทำให้ได้เพื่อแม่ และเพื่อลูกของเรา
พรุ่งนี้เราจะไปบวชชีพราหมณ์กับแม่และลูก เราจะพยายามอยู่วัดให้ได้ถึง 7 วันนะ
เราอยากให้ชีวิตของเราดีกว่านี้
เราอยากเลี้ยงดูแม่ให้ได้ดีกว่านี้
เราอยากเป็นแม่ที่ดีของลูกให้ดีกว่าทุกวันนี้
แต่เราไม่สามารถทำได้ เราทำได้แค่นี้
นี่คือ เราทำดีที่สุดแล้ว
เราจะลุกขึ้นครั้งนี้ จะเป็นการลุกขึ้นเพียงลำพัง โดยมีคนที่เค้ารักเราเฝ้าดูอยู่ เราจะลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อลูก เพื่อแม่ เราต้องทำได้

เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ
เวลาจะช่วยรักษาแผลใจให้เรา
ทุก ๆ เวลาที่เราตื่น ความทรงจำจะทำร้ายเราเสมอ นี่คือเหตุผลที่เราพยายามกินยานอนหลับตลอดเวลา แต่ครั้งนี้ที่เราไปวัด เราจะพยายามสวดมนต์ให้ได้มาก ๆ ปฏิบัติธรรมให้ได้เยอะ ๆ เราจะพยายาม

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กฎแห่งกรรม


ชาตินี้ เราจำได้นะว่าเรากรรมเอาไว้เยอะมาก ๆ นี่ขนาดจำไม่ได้นะว่าชาติที่แล้วเราไปทำอะไรให้ใครต้องเจ็บช้ำน้ำใจไว้บ้าง เรายังต้องประสบพบเจอกับวิบากกรรมที่เรายังงงอยู่เลยนะว่า วันนี้เราผ่านทุกอย่างมาได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถอยู่รอดได้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่เราต้องเจอมา อาจจะไม่หนักเหมือนของคนอื่น ๆ แต่เราก็ได้ข้อคิดจากสิ่งที่เราได้ประสบ พบเจอ จนถึงทุกวันนี้ เราผ่านอุปสรรคและปัญหาของชีวิตมาก็เยอะแล้วนะ

เราอยากให้เรื่องของเรเาป็นอุทาหรณ์ให้หลาย ๆ คนอย่าใช้ชีวิตอยู่บนความประมาท ในที่นี้คือ เราอยากให้เพื่อน ๆ ระมัดระวังการดำเนินชีวิตให้มากขึ้น ให้เพื่อน ๆ พึงกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด หรือให้เพื่อน ๆ กลัวอนาคต แต่ไม่ใช่ว่ากลัวจะไม่กล้าทำอะไรนะ คือ ถ้าเรากลัวที่จะทำบาป หรือกลัวเวรกรรม มันก็จะทำให้เราไม่กล้าทำสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ไม่ดี

ไม่ใช่ว่าวันนี้เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วนะ ตัวเราในวันนี้ก็ยังไม่ค่อยจะเอาตัวรอดเท่าไหร่เลย เรายังต้องพึ่้งพระพุทธศาสนา เรายังต้องสวดมนต์ เรายังต้องทำบุญ และที่สำคัญเราต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้วนี่สิ ที่ทำให้เราคิดได้ว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดมันยังไม่ถูกต้อง เรายังมาไม่ถูกทาง

เราทำบุญ เราทำทาน แต่ทำไมจิตใจของเราถึงไม่มีความสุข บางทีเราหงุดหงิดใส่แม่ และหลายครั้งที่เรานำอารมณ์ไปใส่ไว้กับลูก วันนี้เรารู้สึกได้ และคิดได้ว่า ทำไมล่ะ เพราะอะไร แล้วสิ่งที่เราทำมันไม่ได้พัฒนาเราเลยเหรอ ทำไมจิตใจของเราถึงสกปรกขนาดนี้ เราเพิ่งคิดได้วันนี้นะ เมื่อตอนบ่าย ๆ นี่เอง บางทีลูกกับแม่ของเรายังไม่ได้ทำอะไรให้เราเดือดร้อนเลยนะ แต่ทำไมเราถึงต้องใส่อารมณ์กับเค้าล่ะ เพราะเราไม่สามารถนำไประบายให้ใครฟังได้ เราถึงใส่อารมณ์กับคนที่เค้ารักเรา

เรามีสตินะ ตอนที่เราโกรธ ตอนที่เราหงุดหงิด เราพยายามอยู่ เพื่อที่จะระงับอารมณ์ตรงนี้ให้ได้ ถ้าเราทำได้ เราก็จะสามารถก้าวผ่านสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตไปได้อีกเช่นเดียวกัน ปัญหาที่เราก้าวข้ามผ่านมานั้นจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ เสมอ เมื่อเราสามารถผ่านพ้นมันมาได้แล้ว และปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังรอเราอยู่ข้างหน้านั้น จะใหญ่กว่าปัญหาที่ผ่านมาเสมอเช่นเดียวกัน

ข้อคิดที่เราได้มาจากการดำเนินชีวิตประจำวันนะ ได้มาเอง จากการวิเคราะห์และพิจารณา เราจะพยายามทำให้ตัวเองไม่ลืม ไปใส่อารมณ์กับคนรอบข้างอีก ในเมื่อคนรอบข้างที่เราใส่อารมณ์กับพวกเค้า คนเหล่านั้นคือคนที่รักเรา และให้อภัยเราเสมอ เราก็จำเป็นต้องแก้ไขก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปสำหรับคนที่รักเรา

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ละครชีวิต


เราไม่อยากเป็นผู้ทำลายชีวิตครอบครัวของเราเอง
เราไม่อยากให้ลูกต้องกำพร้าพ่อ
เราไม่อยากทำลายความผูกพันที่เรามีกับสามีมานานกว่า 6 ปี
เราไม่อยากให้ชีวิตของเราต้องเปลี่ยนแปลงไป

ถึงแม้สามีของเราจะไม่ใช่คนรวย หรือเป็นคนดีสักเท่าไหร่
ถึงแม้เค้าจะเป็นคนเจ้าชู้ ไม่ค่อยขยันทำมาหากิน
ถึงแม้เค้าจะไม่ค่อยรักเรา หรือรักลูกสักเท่าไหร่
แต่ในวันที่เราไม่มีใคร สามีของเรา ผู้ชายที่ไม่เอาไหนในสายตาของใคร ๆ ก็ยืนอยู่เคียงข้างเราเสมอ วันนี้เราได้ผ่านบททดสอบอีกบทหนึ่งของชีวิตได้แล้ว นั่นคือการที่สามีนอกใจ เจ้าชู้ และไม่มีความเป็นผู้นำ ถ้าถามว่า 3 รายการนี้สำคัญมากไม๊สำหรับชีวิตครอบครัว เรามองว่าถ้าสำหรับผู้หญิงคนอื่นคงจะสำคัญมาก ๆ แต่สำหรับเราแล้ว มันไม่ได้สำคัญเลยจริง ๆ เราเพิ่งได้รู้ซึ้งถึงตัวตนของสามีเราในวันนี้นี่เอง
เค้าไม่ได้เป็นผู้นำให้กับชีวิตของเราหรือของลูกนะ แต่เค้าจะอยู่ข้าง ๆ เราและลูกเสมอ ชีวิตครอบครัวของเรามีอายุมานานกว่า 6 ปีแล้ว จริง ๆ เราเคยคิดอยากจะเลิกกับเค้านะ แต่เราไม่สามารถทำได้ เราก็เฝ้ารอเวลาให้เค้าเลิกจากเราไปเอง เพราะทุกวันนี้เค้าก็ยังมีผู้หญิงของเค้าอยู่ แล้วเราก็ไม่เข้าใจว่าเค้าจะมีเราไปทำไม ตอนนี้เราก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม เพียงแต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดสำหรับชีวิตครอบครัวของเราในวันนี้ก็คือ "เรามีความสุขกับสามีและลูกในวันนี้ พรุ่งนี้่จะเป็นยังไงเราไม่รู้ ถึงแม้วันนี้เราจะไม่มีเงินตรา หรือญาติพี่น้องเหมือนเช่นวันวานอีกแล้วก็ตามที แต่ทำไมวันนี้เรากลับรู้สึกได้ถึงความสุขก็ไม่รู้นะ เราต้องทำงานหนัก สามีของเราก็ต้องทำงานหนัก เราแทบจะไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันนักหรอกนะ แต่ทำไมเราถึงได้รู้สึกมีความอบอุ่นขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้เหมือนกัน
มันเป็นความสุขจริง ๆ ที่ไม่ต้องผ่านการใส่หน้ากาก ฉาบไว้บนใบหน้าเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ต้องบอกว่าชีวิตครอบครัวของเรานั้น มันก็คงจะเหมือนกับอีกหลาย ๆ ครอบครัวที่เค้าเรียกว่า "สุข ๆ ดิบๆ" สินะ

ระยะเวลา 6 ปี มันอาจจะนานสำหรับใครบางคน แต่สำหรับเรา ระยะเวลา 6 ปีที่ผ่าน เราอยู่ด้วยกันเหมือนมันไม่นานเลยนะ เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นสำหรับหลาย ๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์ เพราะเราอยู่ร่วมกันในแบบที่เรียกว่า "เพื่อน" มากกว่าการอยู่ร่วมกันฉันสามีและภรรยา
เมื่อเราท้อ เราก็อยากจะเลิกกับสามี เพื่อไปหาอนาคต หรือสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่แน่ว่าจะดีกว่าหรือไม่ ในวันนี้เราก็ไม่สามารถยืนยันได้หรอกนะว่า เรากับสามีจะยังไม่เลิกกกัน เพราะเราคงไม่มีวันเลิกกกับเค้า แต่เราไม่รู้ว่าเค้าจะเลิกกับเราเมื่อไหร่ เค้ายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งคบกันอยู่ และเราก็ไม่รู้ด้วยว่ามันลึกซี้งเพียงใด ในขณะที่เราไม่มีใครเลย เรามีแค่แม่ กับลูกเท่านั้น เราถึงบอกไงว่าเราไปจากเค้าไม่ได้หรอก แต่เราไม่รู้ว่าเค้าจะไปจากเราเมื่อไหร่
พรุ่งนี้จะเป็นยังไงเราไม่รู้ เราแค่อยากบอกว่าวันนี้ เรามีความสุขมาก ๆ กับการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้หรอกนะว่ามันจะจบยังไง เพราะเราไม่กล้าคิดถึงตอนจบ ถ้ากลางเรื่องมันมีความสุข เราก็ควรมีความสุขกับมันมาก ๆ จริงไม๊

หวัง


วันนี้เรามีเรื่องมากมายอยากมาระบายไว้ในบทความเพื่อเพื่อน ๆ จะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์นะ เพราะสิ่งที่เราเขียนเล่าไว้ในบทความพวกนี้ ทุก ๆ เรื่องเกิดจากชีวิตของเราจริง ๆ ไม่ได้มีการแต่งแต้มเติมสีแต่อย่างใด อยากให้เพื่อน ๆ อ่านไว้เพื่อจะได้เป็นอุทาหรณ์ในการดำเนินชีวิต เพื่อจะไม่ประมาทกับชีวิตเหมือนกับเรา

เนื่องจากตอนนี้เราได้เป็นนางฟ้าตกสวรรค์อีกแล้ว (คำว่า "อีกแล้ว" แปลว่า ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก) นี่เป็นครั้งที่ 3 หรือ 4 แล้วแหล่ะที่เราตกอับ ช่วงนี้เราเลยถามตัวเองบ่อยอยู่เหมือนกันนะว่า "พรุ่งนี้เราจะอยู่ยังไง" "เราจะมีลูกค้ามาให้เรานวดรึเปล่า" เรามีอาชีพเป็นหมอนวด (หมอนวดจริง ๆ นะ หมอนวดแผนไทย หมอนวดสปา) ตอนนี้เราทำที่บ้านให้สามารถรองรับลูกค้าได้สะดวกขึ้นกว่าเมื่อก่อน ที่ปล่อยให้ลูกค้านอนกับพื้น วันนี้เราก็สั่งที่นอนพร้อมเตียงเรียบร้อยแล้ว และมีตู้อบสมุนไพรด้วยแหล่ะ กั้นม่านไว้ให้เป็นสัดส่วน แต่ถ้าถามเรานะว่าเราพอใจรึเปล่า กับการลงทุนครั้งใหม่ เราก็ไม่ได้พอใจหรอกนะ แต่เราไม่ได้มีทุนมากมายนี่นา เราหาได้แค่นี้ เราก็ทำแค่นี้ พยายามทำให้ดีที่สุด ตั้งใจทำให้มีลูกค้าเยอะ ๆ

ตอนแรกที่คิดจะประกอบอาชีพนี้ คิดไว้แล้วนะว่า เป็นอาชีพที่เหนื่อย ที่หนัก แต่ค่าตอบแทนค่อนข้างคุ้มค่า ถ้าเราได้นวดลูกค้าบ่อย ๆ ฝีมือของเราก็จะพัฒนาไปได้ไกลเลยทีเดียว แต่ช่วงนี้ลูกค้าไม่ค่อยมีเลยอ่ะ และเราก็เป็นคนใหม่มาก ๆ ในวงการหมดนวดในจังหวัดชุมพรแห่งนี้ เรายังไม่ค่อยมีฝีมือเลย เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ ๆ รุ่นป้า ๆ ทั้งหลาย เรายังเด็กจริง ๆ ตอนนี้ก็ต้องฝึกฝีมืออีกไกลเลยแหล่ะ แต่เราก็ดีใจนะที่ฝีมือของเราพัฒนาไปเรื่อย ๆ จริง ๆ เพราะเหมือนมีเหตุให้มีคนบอกเคล็ดลับบ้าง บอกเทคนิคต่าง ๆ บ้าง เราก็จำของคนนั้น ผสมกับของคนนี้ไปเรื่อย ๆ ทีนี้เราก็นำมาประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง

เรายังไม่รู้เลยนะว่า เราสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดของปีนี้มาได้อย่างไร แต่วันนี้เราผ่านมาแล้ว และรู้สึกว่าเราแข็งแกร่งขึ้นมาก ในวันนี้เราสามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเองแล้ว แม้ว่าเราจะยังยืนได้ไม่แข็ง แต่เราก็ได้ยืนแล้ว พอเราถามว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร เราก็ยังไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร เรายังงงเลยนะว่าเราผ่านอดีตมาได้ยังไง แล้วอนาคตล่ะ เราจะผ่านไปได้ไม๊ นี่คือคำถามที่เราถามตัวเองบ่อย ๆ

คำถามที่เราถามกับตัวเองบ่อย ๆ มักจะไม่ค่อยมีคำตอบให้กับเราหรอกนะ เพราะเราไม่กล้าคิด ไม่กล้าหวัง เรากลัวถ้ามันจะทำให้เราพลาดอีกครั้ง หรือแค่ทำให้เราผิดหวัง เราก็กลัว

เรากลัวว่า "ถ้าหากเราผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง เราอาจจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ได้ เราอาจจะไม่สามารถรับความผิดหวังใด ๆ ได้อีกต่อไปแล้ว เราก็เลยพยายามทำให้ทุก ๆ วันของเราดีที่สุด และมีค่าที่สุด เราจะรักแม่ของเรา และเราจะรักลูกของเราให้มาก ๆ ให้ทุก ๆ วันเป็นวันที่มีค่าที่สุดสำหรับเรา ถามว่าวันนี้เราเหนื่อยไม๊ เราอยากจะเหนื่อยนะ เพราะเหนื่อยกายมันแปลว่าเราจะได้เงินมา แต่ถ้าเราเหนื่อยใจ เราคงไม่ได้เงินกลับมาหรอก"

เราเหนื่อยใจเพราะ เรามัวแต่คิดไง ตอนนี้เราก็เลยไม่คิด เราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยที่เราไม่ได้ไปฝืนอะไรเลย เราแค่ปล่อยให้มันเป็นไป และเราก็วางตัวของเราให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตรงนั้นดีกว่า

นี่คือ ประสบการณ์ที่เราเพิ่งผ่านมาหมาด ๆ จากเดือนกรกฎาคม จนถึงวันนี้

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผู้ชายที่มีแต่ "ให้"


เมื่อ 3 วันก่อน เรามีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นคนที่สอนให้เรารู้จักกับคำว่า "รัก" และ "ความอดทน" เค้าเป็นคนรักคนแรกของเราเอง และเป็นผู้ชายคนแรกที่รักเราจริง ๆ รักในแบบที่เราเป็น ไม่เคยขอให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเค้า ถึงแม้เวลาแห่งการเลิกรากันได้ย่างเข้าสู่ปีที่ 7 แล้วก็ตามที แต่พอเราได้มีโอกาสคุยกับเค้าอีกครั้ง เรากลับรู้สึกเหมือนกับว่าเค้าไม่เคยหายไปเลย เค้าไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของเราเลย ถึงแม้เราจะพยายามหลอกตัวเองมาตลอด เราหลอกตัวเองว่า "เราลืมเค้าไปแล้ว" "เราไม่เคยสนใจเค้าเลย" แต่ทุกครั้งที่เราขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าบ้านเค้า เราต้องหันไปมอง หรืออย่างน้อยต้องเหลือบไปดูสักนิดว่า "เค้าอยู่รึเปล่า"

พอเค้าพูดดีกับเรา มันทำให้เรารู้สึกสดชื่นจริง ๆ นะ
รู้สึกเหมือนแผ่นดินที่แห้งแล้ง ได้รับน้ำฝนเพียงเล็กน้อย แล้วรู้สึกอิ่มเอมในจิตใจ แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตามที
ในวันนี้เค้าผู้แสนดีของเรา ยังไม่ได้แต่งงานเลย แต่เค้ามีผู้หญิงมากมายที่รายล้อมรอบตัวเค้าอยุ่ แล้วจะให้เรากล้าที่จะเสนอหน้าเข้าไปหาเค้าเหรอ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นของที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว และเป็นของที่มี่ตำหนิ มันจะไปสู้อะไรกับสาว ๆ สวย ๆ ที่รอให้เค้าเลือก

เค้าเป็นคนรักคนแรกของเรา มันก็คงจะยากมั้ง ที่เราจะสามารถลืมเลือนเค้าไปได้ แม้ระยะเวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตามที
เรายังจำวันที่เราทำให้เค้าเจ็บปวดได้เลย
เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
เราเองที่เป็นคนใฝ่ต่ำ
เราเองที่เป็นผู้หญิงที่มั่วมาก ๆ
เราเองที่ทำลายอนาคตของตัวเอง
เราเองที่ทำให้คนที่รักเราต้องเจ็บช้ำ
และเราเองที่ทำลายความฝันของพ่อกับแม่

เราทำลายทุกอย่างลงด้วยความความถือดี
ไม่มีดีจะอวดหรอกนะ แต่อวดดี
เราถือทิฏฐิ ว่าครอบครัวฉันก็มีแล้วทำไมฉันจะต้องง้อ ผู้ชายที่เค้าไม่เคยมีเวลาให้กับฉันเลย (แต่จริงๆ แล้วเค้าเป็นคนที่ตั้งใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการทำงาน หรือแม้แต่ความรู้สึก)
เค้าเป็นลูกคนรวยนะ ความตั้งใจจริงของเค้าทำให้เค้าได้ใบปริญญากลับมาให้พ่อกับแม่ได้ชื่นชม แต่เราล่ะ มีอะไรให้พ่อแม่ได้ชื่นชมบ้าง ไม่มีเลย เราเอาลูกกับสามีกลับมาที่บ้าน สร้างความอับอายให้กับพ่อแม่เป็นอย่างมาก

เราในอดีต ไม่เคยสนใจคนรอบข้าง เราสนใจแค่ความรู้สึกของตัวเราเองเท่านั้น
เรามีอะไรหลาย ๆ อย่างอยากจะบอกเค้าที่แสนดีคนนี้เหลือเกินนะ
ว่า
"เราขอโทษนะ เวรกรรมทั้งหลายที่เราเคยทำให้เค้าเจ็บปวดและช้ำใจนั้น ในวันนี้เราได้รับผลแห่งการกระทำนั้นแล้ว เราเจ็บ เราปวด และที่สำคัญเราไม่มีหนทางอื่นให้เลือกเดินอีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนเราสามารถปฏิเสธในสิ่งใด ๆ ก็ตามทีเราไม่อยากทำ หรือแค่คิดว่ามันจะเหนื่อย เราก็ไม่ทำแล้ว แต่ในวันนี้ วันที่ไม่มีมรดก หรือเงินกงสีเหลือให้เราอีกแล้ว เราจำเป็นต้องก้มหน้าทำงาน ที่เราเลือกนี้ต่อไป เพื่อคนที่เรารักเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นลูก หรือแม่ของเรา ในวันนี้แม้เราจะเหนือ่ยแสนสาหัสเพียงใด เราไม่สามารถหยุดได้ เราไม่สามารถพักผ่อนได้อีกต่อไปแล้ว
แม้เราจะเหนื่อยเพียงใดก็ตาม เราต้องหันไปมองคนข้างหลัง ซึ่งเป็นคนที่รักเรามาก ๆ ไม่เคยทำร้ายเราเลยแม้สักครั้งเดียว เราต้องหาเลี้ยงพวกเค้าให้ได้ แม้จะผ่านไปด้วยความยากลำบากเพียงใดก็ตาม เราต้องทำให้ได้"
เราอยากบอกเค้าคนนั้นเหลือเกิน

"เค้าจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป และความทรงจำที่มีเค้าอยู่นั้น ล้วนแต่เป็นภาพที่งดงามทั้งสิ้น เพราะระยะเวลากว่า 7 ปีได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วจริง ๆ ว่าเราไม่สามารถลืมเค้าได้เลย"

มันเป็นเหมือนตราบาป ที่เกาะติดในใจของเรามาตลอดในความผิดที่เราได้ทำไว้กับเค้า และในวันนี้สามีของเราก็ทำกับเราแบบนั้นเช่นกัน มันเหมือนกระจกที่ส่องให้เรารู้ว่า ผู้ชายแสนดีคนนั้นเค้ารู้สึกเช่นไรในวันที่เราทำร้ายเค้า แต่ระยะเวลาที่เราได้ทำร้ายเค้านั้นมันช่างสั้นนัก ในขณะที่สามีของเรานอกใจเรามรตลอดเป็นระยะเวลา 6 ปีนับตั้งแต่วันที่เราคลอดลูกชายได้ 6 เดือน จนตอนนี้ลูกชายของเราเกือบ ๆ จะ 5 ขวบ
เค้าไม่เคยหยุดได้เลย ไม่เคยเลยจริง ๆ

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

ยังไม่จำ



พอแท้งได้ประมาณ 3-5 วัน แฟนของเราก็เป็นคนดีมาก ๆ เลยนะ อยากจะหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่งให้เหมือนกับชาวบ้านเค้าสักครั้งก็เลยไปสมัครงานวิ่งรับเหมากระเบื้องจากโรงกระเบื้อง UMI ที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี
รู้ไหมว่าเราแท้งลูกได้ 7 วัน เราต้องไปยกกระเบื้่องที่หนักมาก ๆ เลยนะ ครั้งหนึ่งที่ไปด้วยกันก็ยกกันแค่ 2 คนทั้งคันรถ (เป็นรถหกล้อค่ะ) หนึ่งกล่องหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัมมั้ง จำไม่ไดแล้วเพราะนานมาก ๆ แล้วอ่ะ เกือบ 5 ปีแล้วด้วย เราเป็นคนยกส่งให้แฟน ส่วนเค้าจะยกต่อเข้าไปในร้าน แล้วก็เรียง จะทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าจะหมดคันรถ (ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกลำบากหรือรู้สึกว่าห่างกันมากเหมือนตอนนี้เลยนะ รู้สึกว่าถึงจะไม่มีเงิน แต่คือเราอยู่ด้วยกัน 2 คนไง ไม่มีภาระอะไรให้ต้องเป็นห่วง นอนก็นอนในรถ กินก็กินในรถ) หรือว่าตอนนั้นเค้ายังไม่ออกลายก็ไม่รู้เหมือนกัน
ทำอยู่ประมาณ 6 เดือนได้มั้ง ช่วงหลัง ๆ เราไม่อยากกลับไปอยู่ร่วมบ้านกับครอบครัวของเค้าแล้วก็เลยชวนเค้ามาหาห้องเช่าอยู่ด้วยกันแถว ๆ โรงงาน มันก็ดีนะ คืออยู่กันแค่ 2 คน ลำบากก็ลำบากกันแค่ 2 คนจริง ๆ อดก็อดเหมือนกัน แต่วันนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ทุกวันนี้มันมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างมาทำให้เราสองคนค่อย ๆ ห่างกันออกไปเรื่อย ๆ จนบางครั้ง เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยทั้ง ๆ ที่เราอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
จำได้ว่าครั้งแรกที่ออกไปทำงานกับเค้า ได้นั่งไปในรถ เรารู้สึกดีมาก ๆ เลยนะ ได้ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ มากมาย ถึงแม้ว่าเราจะไปทำงานเหมือนกรรมกรก็ตามที ถึงแม้เราจะเหนื่อย แต่เราก็เหนื่อยด้วยกัน เรามีแฟนคอยอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา เค้าจะปกป้องเราทุกอย่างนะ
คืนแรกที่นอนในรถ ตอนนั้นเพิ่งจะแท้งลูกก็นั่งรถเดินทางไกลแล้ว และรถก็ไม่ได้นิ่มเหมือนรถเก๋งนี่นา แต่เราก็ไม่ได้คิดเรื่องตกเลือดหรืออะไรหรอกนะ เราคิดแค่ว่า อยากทำงานอะไรก็ได้ที่ทำแล้วได้เงินมีความสุข ก็จะทำ โดยเฉพาะมีแฟนเป็นผู้นำ เราก็รู้สึกดีมาก ๆ เลยนะ เหมือนเราจะได้ไม่ต้องคิดแล้วไง เรามีเค้าเป็นผู้นำ ทีนี้เราก็เป็นผู้ตามที่ดี แค่นั้นเอง
ตอนนั้นจอดอยู่ตรงสะพานลอย เป็นโรงงานใหญ่ ๆ เกี่ยวกับอะไหล่คอมพิวเตอร์ ก่อนจะถึง จังหวัดนครราชสีมา แฟนเราเค้าขับต่อไปไม่ไหว เค้าก็จอดนอนตรงนี้แหล่ะ ซึ่งพอเค้าหลับ เราก็จะต้องเปลี่ยนมานั่งแทน เพราะเค้าจะนอน แล้วเป็นรถตอนเดียวไง (ไหนจะเสื้อผ้า กระติกน้ำแข็งอีกล่ะ) เราก็ต้องเสียสละให้เค้านอน เพราะเรานอนมาตลอดทางเลยแหล่ะ
ช็อตเด็ดอยู่ตรงนี้ คืนนั้นเราก็ฝันนะ ฝันว่ามียายแก่คนหนึ่ง เค้าเดินมาเคาะกระจก เค้าบอกให้เราเปิดกระจกให้เค้าหน่อย เค้ามาตามให้เราไปหาลูก ลูกร้องใหญ่แล้ว ลูกร้องหาแม่
แล้วหัวอกคนเป็นแม่ล่ะ ที่เพิ่งสูญเสียลูกไปน่ะ เราก็ยังเหมือนกับผูกพันกับลูกด้วยแหล่ะ "ยายบอกว่าให้เปิดประตูรถลงมาสิ พยายามคะยั้นคะยอให้เปิดประตูให้ได้เลยนะ แต่เราไม่ได้เปิด กำลังฟังเสียงเด็กร้องไห้อยู่ ก็เอะใจนิดหนึ่งแล้วแหล่ะ กำลังเอื้อมมือจะไปเปิดประตู ในความฝันนะ" แต่ทีนี้ไม่รู้เพราะอะไร แฟนของเรา "เค้าก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาเลยนะ บอกว่าจะต้องขับรถไปแล้วแหล่ะ เดี๋ยวไปไม่ถึงหน่วยงาน ซึ่งเป็นตอนบนของภาคอีสาน"
เราก็เลยสะดุ้งตื่นเหมือนกัน "ก็เลยตกใจ แล้วเล่าให้เค้าฟัง เค้าบอกว่าดีนะเนี่ยที่ไม่ได้เปิดประตูลงไป เพราะถ้าเปิดลงไป ตัวเราเองอาจจะมีเหตุให้ต้องตายก็ได้ อะไรประมาณนี้แหล่ะ พอเล่าแล้วก็รู้สึกกลัว ๆ เหมือนกันนะเนี่ย"

ทุกวันนี้ยังจำหน้ายายคนนั้นได้อยู่เลยอ่ะ

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ท้อง (แท้ง)1


พอถึงวันที่คุณหมอนัด เราก็ไปตามนัดนะ แต่แฟนให้เราไปคนเดียว ขนาดเราแท้งลูกนะ ลูกยังอยู่ในท้องอยู่เลย เค้าไม่กลัวเลยนะว่าเราจะตกเลือด หรือว่าเราจะต้องไปเจอกับอะไรที่มันอันตรายรึเปล่า เค้าไม่สนใจเราเลยด้วยซ้ำ
แต่วันที่เค้ารู้นะ พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็รีบมาหาที่โรงพยาบาลทันทีเลยเหมือนกันนะ เค้าโทรมาตาม แต่เราไม่อยากคุยเราก็ให้เค้าคุยกับพยาบาลว่า "ลูกตายแล้ว ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล"
เค้าไม่เชื่อนะ เค้าคิดว่าเราไปทำแท้งมา เค้าโทษเราที่ลูกตายด้วยแหล่ะ
พอถึงวันนัดคุณหมอก็มาคุยที่เตียงนะ มาบอกว่าถ้าเด็กยังไม่หลุดก็คงจะต้องผ่าตัดแล้ว พรุ่งนี้จะผ่าตัดให้นะ ก็ให้งดน้ำและอาหารเลยตั้งแต่ 6โมงเย็นวันนี้ เราก็นึกในใจนะว่า
"ลูกจ๋า ลูกอย่าให้แม่ต้องเจ็บเลยนะคนดี ถ้าเรามีบุญต่อกันก็ขอให้หนูกลับมาเกิดกับแม่ใหม่นะ"
เราคิดแบบนี้นะ ปรากฎว่าคืนนั้นทั้งคืนเลย รู้สึกปวดท้องเข้าห้องน้ำ ปวดฉี่ แทบทั้งคืนเลยนะ เริ่มปวดถี่ ๆ ก็ตอนประมาณตี 4 ถึงเกือบ 8 โมงเช้า พอปวดก็จะลุกขึ้นแล้วเดินไปห้องน้ำ แต่ไม่มีฉี่ ฉี่ไม่ออก ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์อะไรเลยตรงนี้ ไม่มีประสบการณ์จริง ๆ ปวดก็ไปห้องน้ำ
แต่พอเริ่มสว่างก้ปวดถี่ขึ้น ๆ จนประมาณเกือบ 8 โมงเช้าแหล่ะ รู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ปวดอีกแล้วอ่ะ พอก้าวขาลงจากเตียงเท่านั้นแหล่ะ ได้ยินเสียง "โป๊ะ" ก็ยังงง ๆ นะ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ก้มลงไปมอง แล้วเห็นว่า น้ำเต็มพื้นเลยอ่ะ แล้วเราก็เอามือไปคว้าตัวเด็กที่หลุดออกมาไว้ในมือ (เราเอามือข้างซ้ายอุ้มเค้าไว้ ตัวเค้าเล็กมาก ๆ เลย ตัวยาวกว่ามือเราออกมานิดเดียวเอง)
ทีนี้พี่ ๆ เตียงข้าง ๆ ก็เรียกพยาบาลบอกว่าเราตกเลือด

โห! แบบว่าเรียกน่ากลัวมากเลยอ่ะ แต่ความที่เรานอนมานานแล้วไงก็เลยสนิทกับพยาบาลดี พี่ ๆ เค้าใจดีนะ คอยดูแลเราอย่างดีเลยแหล่ะ เราก็กลัวเค้าจะว่าเอาอ่ะ ที่ทำให้พื้นโรงพยาบาลเค้าเลอะ ก็แบบว่าจะเอาผ้าเช็ด พี่เค้าบอก "ไม่ต้องน้อง รีบขึ้นไปนั่งบนที่นอนเลย พี่เค้าก็ขึ้นมาบนตัวเรา แล้วก็กดลงตรงใต้ลิ้นปี่อ่ะ เค้าบอกว่าดีนะที่เราเอามือไปรองเด็กไว้ เพราะถ้าเกิดเด็กหลุดออกมาแบบนั้น และถ้าสายสะดือขาดล่ะก็ รกจะดันตัวเองขึ้นสูง เหมือนแรงกระชากอะไรแบบนั้นแหล่ะ แล้วทีนี้เราก็จะหายใจไม่ออก (อาจตายได้เหมือนกันนะ คนโบราณบอกว่า รกบินไปตัดขั้วหัวใจ ประมาณนี้แหล่ะ ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน) ตอนที่พูดพี่เค้าก็ค่อย ๆ กดนะ จากที่รู้สึกว่าอึดอัดและแน่นหน้าอก ก็ดีขึ้นทีนี้พี่เค้าก็พยายามทำความสะอาด เราก็เลยขอดูหน้าลูก แต่เค้าไม่ให้ดู เค้าบอกว่าจะทำให้จำได้ติดตา อย่าดูเลย
เราก็ถามพี่เค้านะ ว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พี่เค้าบอกว่ายังไม่ทราบเพศแน่ชัด แต่ถ้าให้ดูจากสภาพเด็ก น่าจะเป็นผู้หญิง ซึ่งเรายังจำภาพของลูกได้ติดตาจริง ๆ แค่เสี้ยววินาที ที่เราเอามือไปรับเค้าไว้แล้วได้มองเห็นหน้าเค้า จนถึงทกวันนี้เราก็ยังจำหน้าเค้าได้จริง ๆ
"ลูกของแม่"
เค้าถามว่าจะทำยังไงกับศพเด็ก เราก็ไม่รู่ว่าจะตอบว่ายังไงนะ เราก็เลยบอกไปว่า ให้โรงพยาบาลไว้ เพราะเราไม่รู้นี่นา แต่พอออกมาก็ไปทำบุญนะ
ทำบุญให้ลูก ตอนนี้ก็ยังต้องทำ เพราะไปดูดวงมาเค้าบอกว่า ให้ทำบุญนะ มีเด็กตามเราอยู่อีกหนึ่งคน นี่ก็เพิ่งนึกได้ ก็ว่าจะไปทำให้เค้าเหมือนกัน ที่เค้าไม่ได้เกิดก็เพราะว่าเราประมาทเองน่ะแหล่ะ
คุณหมอยังงงเลย ทำไมเด็กถึงเสียชีวิต
555
ประมาณว่าลูกคงคิดว่า "พ่อกับแม่อาจจะยังไม่พร้อมที่จะมีเค้า เค้าก็เลยตายเองมั้ง หรือไม่ก็ที่พ่อเค้าเตะที่หลังแม่น่ะแหล่ะ" คิดได้สองแง่ แต่ทุกวันนี้เราก็ยังอยู่กับแฟนคนนั้นอยู่เลยนะ อยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้

เพราะเวรกรรมมันยังไม่หมดไง

ท้อง (แท้ง)


เมื่อครั้งแรกที่เราได้รู้จัก ได้ประสบพบเจอกับคำว่า "ลำบาก" ก็ตอนที่ได้เจอกับผู้ชายคนนี้ "คนที่เป็นพ่อของลูกในทุกวันนี้" เมื่อก่อนชีวิตไม่เคยได้รู้จักหรอกนะ "ความทุกข์เป็นยังไง" "ความลำบากเป็นยังไง" เพราะเราโตมาในครอบครัวใหญ่ และค่อนข้างมีฐานะทางการเงินที่ดีพอสมควร
แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจเรานะ ให้รู้สึกว่า ถ้าเป็นผู้ชายคนนี้เค้าจะสามารถดูแล และปกป้องเรารวมไปจนถึงลูกได้ "ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคิดแบบนี้"
ท้องแรก ตั้งใจจะปล่อย ให้ท้องกับคนนี้แหล่ะ (ตอนนั้นกะว่าจะไม่กลับมาที่บ้านอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าบ้านแฟนก็ค่อนข้างโอเคเลย มีฐานะพอดี ๆ ไม่ต้องรวยมาก แต่เหมือนกับว่าอบอุ่นอ่ะ เค้ามีพ่อแม่อยู่ด้วยตลอดเวลาก็เลยรู้สึก เหมือนครอบครัวในฝันเราเลย อยากเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้) แต่พอเริ่มท้องก็เริ่มแล้วอาการแพ้ แพ้มาก ๆ เลยแหล่ะ ไม่อยากกินอะไรเลย เหมือนลูกจะเป็นผู้ดีอะไรประมาณนั้น แล้วทำอะไรก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ มีเงินมากเลยแหล่ะ แต่เชื่อไม๊ว่าเราทะเลาะกับแฟนได้ตลอดเวลาเลยแหล่ะ
บางทีทะเลาะกันจนเค้าไล่เราออกจากบ้านก็มีเหมือนกันนะ ไล่เหมือนหมู ไล่เหมือนหมาเลยแหล่ะ แต่เราไปไหนไม่ได้แล้ว ถ้าจะให้เราหอบลูกในท้องกลับมาที่บ้านเราก็กลัวพ่อกับแม่จะเสียหน้า เสียใจ คือชีวิตนี้ตอนนั้นเราตัดสินใจแล้ว ว่าจะไม่เป็นคนฉีกหน้าของพ่อเด็ดขาด และจะไม่ทำให้แม่ต้องเสียใจอีก เราก็เลยอดทน ประมาณเหมือนหน้าด้าน หน้าทนเลยนะ
บางทีโดนหลานของแฟนซึ่งยังเป็นเด็ก ๆ อยู่เลยว่ามา แบบว่าหน้าชาเลยนะ เหมือนกับเค้าบอกว่าเราหน้าด้าน ไม่รู้จักไปสักที อยู่ที่นี่ก็ทำให้หลาย ๆ คนอึดอัดใจ น่ารำคาญ เด็กนะคะ คำพูดของเด็กประมาณ 5 ขวบมั้ง โห! เรารู้สึกแย่มาก ๆ เลยอ่ะ วันนั้นก็เลยตัดสินใจว่า จะไม่อยู่ที่บ้านแฟนอีกต่อไปแล้ว และจะไม่กลับไปอยู่ที่บ้านเราเหมือนกัน ทะเลาะกับแฟนแรงมาก ๆ แล้วเมื่อก่อนเค้าเป็นพวกชอบใช้กำลัง พอโมโหแล้วหยุดตัวเองไม่ได้ เค้าเตะเราที่หลัง ตอนนั้นท้องลูกได้ 3 เดือนครึ่ง ก็ไม่รู้สึกอะไรนะ แต่เราตัดสินใจแล้วว่า "พอกันที ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันจะไป" ก็เลยเอามือถือ โนเกียรุ่นไหนจำไม่ได้แล้ว ขายได้ 8000 กว่าบาท แล้วก็แหวนอีกครึ่งสลึกที่เค้าซื้อให้น่ะแหล่ะไปขาย ได้มาอีก 800 บาท
ก็หนีออกมาจากบ้านแฟน เข้าไปอยู่ทีตัวเมือง พักโรงแรมแถว ๆ ในเมืองน่ะแหล่ะ แล้วก็พยายามคิดหาทางออก แต่ก็ดีนะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ยื่นมือเข้ามาช่วยท่านดีมาก ๆ เลย ให้ที่พักที่อยู่ เราก็ยังคิดอะไรไม่ออกนะ แค่ปรึกษาท่านเฉย ๆ ก็ไม่ได้ว่ายังไง คุยกันพอเริ่มจับทิศทางถูกว่าจะต้องทำยังไงต่อไปก็เลย โอเค แต่เราไม่มีความคิดจะเอาลูกในท้องออกเลยนะ อันนี้กล้าสาบาน ไม่รู้สิ มันไม่ได้อยู่ในสมองเลยนะ ว่าจะเอาลูกคนนี้ออก ต้องเอาออกอะไรอย่างนี้ ไม่มีเลย
ก็พอเริ่มมีทางออกก็เลยคิดจะไปอัลตร้าซาวด์ดูว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผุ้ชาย แค่อยากเห็นหน้าเค้า ก็เลยไปที่โรงพยาบาลเอกชน ค่าอัลตราซาวด์เมื่อ 7 ปีที่แล้วประมาณ 1500 บาทก็โอเค จ่ายเลย แต่ที่ไหนได้
ลูกของเราเสียชีวิตแล้ว เค้าไม่หายใจ เค้าตาย
หมอก็เลยทำหนังสือส่งตัวให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เป็นโรงพยาบาลรัฐบาล แหม พอหนังสือส่งตัวบอกว่า เด็กตายในท้อง แต่ละคนมองมาเหมือนเราเป็นฆาตกรเลยอ่ะ คิดว่าเราฆ่าลูกตัวเองมั้ง
ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่มาก ๆ เลยนะ ลูกเราก็ตาย แถมคนรอบข้างก็ซ้ำเติม ตอนนั้นเราไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เลยนะ แค่เราคนเดียว แล้วจังหวัดนั้นก็ไม่ใช่บ้านเกิดเราด้วย เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาดเลยแหล่ะ คนเข็นรถเข็นยังไม่อยากเข็นเลย
หมอตรวจยังขู่เข็ญแกมบังคับเราอีกนะ ว่าไปทำอะไรมา ให้บอกมาตรง ๆ เราก็บอกไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ ตอนนั้นเค้าก็พยายามหาร่องรอยการทำแท้งอ่ะ แต่เราไม่ได้ทำ ปากมดลูกไม่ได้เปิด เค้าก็ตกใจนะ แล้วก็ขอโทษเราเป็นการใหญ่เลย เพราะเค้าบอกว่าเค้าเข้าใจนะสำหรับคนที่อยากมีลูก
หลังจากนั้น คุณหมอกับพยาบาลก็เข้ามาดูแลอย่างดีเลยแหล่ะ คอยสนใจ ห่วงใยตลอด คุณหมอก็พยายามฉีดยาเร่งคลอดให้นะ แต่ไม่เป็นผล เพราะปากมดลูกไม่เปิด แต่คุณหมอก็พยายามที่จะคอยเช็คเกล็ดเลือดตลอดเวลา เพราะคุณหมอกลัวว่าถ้าเด็กเสียชีวิตในท้องนาน ๆ จะทำให้เกล็ดเลือดของเราไม่แข็งตัว และถ้าสุดท้ายเด็กไม่ยอมหลุดออกมาเอง เราก็ต้องผ่าตัดออก ถ้าเก็บเอาไว้นาน ๆ จะเสี่ยงต่อชีวิตของแม่
และลูกของเราก็อยู่ในท้องแบบนั้นแหล่ะ เกือบ 2 อาทิตย์เลย
อาทิตย์แรกนอนให้น้ำเกลืออยู่โรงพยาบาล
อาทิตย์ที่สองตรงกับวันหยุดสงกรานต์ของปี 2548
อาทิตย์ถัดมาคุณหมอก็เลยนัดให้กลับมาใหม่ตอนเปิดวันจันทร์
ก็เลยกลับไปอยู่ที่บ้านแฟน แต่ก็เหมือนเดิม เหมือนกาฝาก เราเจ็บมากเลยนะ แล้วเรารู้สึกเหมือนกับว่าลูกเรายังมีชีวิตอยู่ เหมือนหมอเข้าใจผิด อะไรประมาณนั้น เหมือนเรากำลังเริ่มหลอกตัวเองอ่ะ เราเริ่มเกลียดแฟนมาก ๆ เลยนะ เกลียดมาก เรานอนกอดตัวเองแล้วก็ร้องไห้
ทำไมลูกเราต้องตาย เพราะอะไรเหรอ
เราผิดเองแหล่ะ ที่มีแฟนที่ไม่มีภาวะในการเป็นผู้นำใด ๆ ทั้งสิ้น เค้าไม่เคยเป็นผู้นำให้เราได้จริง ๆ เราอยู่ด้วยกันมา 6 ปี เราต้องช่วยเหลือตัวเองมาตลอด เค้าและครอบครัว ไม่เคยช่วยเหลือเราเลย
แต่เหมือนเวรกรรมมันยังไม่หมดไง

ความในใจ (ของหมอนวด)


วันนี้รู้สึกเหนื่อยมาก ๆ เลย ที่ร้านก็ไม่ค่อยมีลูกค้าในตอนกลางวันเลยสักคนเดียว เจ้านายก็ไม่ยอมโปรโมทร้านเลยอ่ะ พอเริ่มมืดลูกค้าเริ่มเยอะ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเฒ่าหัวงู หรือไม่ก็พวกขี้เหล้า กินเหล้าแล้วมานวด อะไรพวกนี้ ทำให้ตอนนี้เราเบื่อมาก ๆ เลยอ่ะ เจอลูกค้าประเภทนี้บ่อย ๆ มักจะโดนดูถูก เหมือนว่าจะสามารถซื้อผู้หญิงทุกคนที่เป็นหมอนวดได้ด้วยเงินทั้งนั้นแหล่ะ
ไม่รู้เหมือนกันนะว่าวันนี้เราเป็นอะไร
เราไม่อยากนวดลูกค้าเลย เหมือนเรากำลังจะหมดแรงแล้ว เราเหนื่อยมาก ๆ เลย แต่เราไม่สามารถหยุดได้ เพราะในวันนี้ถ้าเราหยุด เราจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน เราไม่อยากทำงานนวดอีกแล้ว แรก ๆ ก็สามารถบังคับจิตใจได้หรอกนะ แบบว่ายังไงก็ต้องทน พรุ่งนี้เราก็ต้องทนอีกเหมือนเดิม เพราะเราต้องหารายได้เข้าบ้าน เป็นค่าขนมลูกชายไปโรงเรียน ค่ากับข้าวให้กับคุณแม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย
เฮ้อ
บางทีก็รู้สึกท้อนะ ท้อมาก ๆ เลยแหล่ะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้ เราเหนื่อยนะ เหนื่อยเหลือเกิน วันไหนถ้าเราไม่ท้อนะ เราจะสู้มาก ๆ คิดไว้ว่าต้องหาเงินเข้าบ้านเท่านั้น คิดแค่นี้แหล่ะ ทั้ง ๆ ที่ใจจริงแล้วอยากกลับบ้านไปหาลูกมาก ๆ เลย อยากกลับไปอยู่กับลูก เหนื่อยจัง อยากกอดลูกมาก ๆ แต่เราก็ไม่สามารถทำได้ เราต้องทำงาน บางครั้งก็เลยเที่ยงคืนไปก็มีเหมือนกันนะ พอตื่นเช้าขึ้นมา รู้สึกว่านิ้ว ว่ามือ ว่าแขนมันล้าไปหมดเลย มันไม่อยากจะลุกแล้ว เราโหมงานอย่างนี้มา 3-4 วันแล้วแหล่ะ กลับบ้านดึก ๆ แต่เชื่อไม๊ว่าดึกแค่ไหน ส่วนใหญ่ลูกชายของเราจะรอ "เค้าจะรอนอนพร้อมกับแม่" รู้สึกไม่ดีเหมือนกันนะ สงสารลูก แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อวันนี้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปอีกแล้ว เราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
แต่วันนี้เรากลับบ้านเร็ว เราได้ลูกค้าผู้หญิงคนเดียวแล้วก็กลับบ้านเลย เพราะว่าท้องฟ้าเหมือนฝนจะตกหนัก เป็นห่วงลูกชายกับแม่มากกว่า ก็เลยอยากกลับบ้าน ได้เงินกลับมา 140.- บาทถ้วนสำหรับวันนี้ ก็เอาเถ่อะ มีไว้เป็นค่ากับข้าวให้แม่พรุ่งนี้ก็พอแล้ว เราคิดว่า กลับมาพักก่อนดีกว่า ถ้าวันนี้เรายิ่งโหม พรุ่งนี้เรายิ่งไม่อยากไปทำงาน
ก็เป็นแค่ความในใจของเรา ในวันที่เราท้อแท้เท่านั้นแหล่ะ พรุ่งนี้เราก็จะมีแรงสู้อีกครั้ง แต่วันนี้เราเหนื่อย เราอยากระบายออกไปให้ใครก็ได้รับรู้ เราก็เลยทำเป็นบทความออกมา คืนนี้พอได้นอนหลับ พรุ่งนี้ตื่นมาก็หายเหนื่อยแล้วแหล่ะ

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ผิด

" เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
เเม้นพูดดีมีคนเขาเมตตาจะพูดจา
จงพิเคราะห์ให้เหมาะความ "

เหมือนคำกล่าวนี้จะสอนให้รู้จัก "คิดทุกครั้งก่อนจะพูด" เพราะคำพูดไม่สามารถจับต้องได้ แต่คนฟังสามารถได้ยินและนำไปแปลความหมายให้เปลี่ยนไปได้ต่าง ๆ นาๆ
คนบางคน พูดดี พูดเพราะ ใครได้ยิน ได้ฟังก็รู้สึกเมตตาสงสาร แต่สำหรับบางคนที่พูดจาไม่มีเลยความมีสัมมาคารวะ มีแต่ความหยิ่งทะนง องอาจว่าเราแน่ เราเก่ง แล้วทีนี้ใครที่ไหนเค้าจะมาสงสารเราล่ะ ในเมื่อเราแสดงออกแล้วว่าเราเก่ง ใครที่ไหนจะมาช่วยเหลือ
เหมือนตัวเรานี่ไง สามารถพูดให้คนดี ๆ คนหนึ่งกลายเป็นคนเลวไปได้ในสายตาของหลาย ๆ คน พูดจาก 1 ให้กลายเป็น 10 ได้ และตัวเราเองยังสามารถหลอกตัวเราเองได้ด้วยซ้ำ (ขนาดตัวเราเองยังหลอกตัวเอง แล้วใครที่ไหนเค้าจะรู้ล่ะว่าเราหลอกลวง ก็ในเมื่อตัวเรา เรายังหลอกให้เชื่อในส่ิงที่เราทำได้เลย ว่าเราทำดี)
คำว่า "ความลับไม่มีในโลก" เพราะ ถึงแม้ไม่มีใครรู้แต่ตัวเราเองนี่แหล่ะที่รู้ แต่ถ้าแม้ตัวเราเองยังไม่รู้ล่ะ มันคืออะไร
ในวันนี้เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป ทุก ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป เราก็พยายามจะเปลี่ยนนิสัยอยู่ เราพยายามจะยึดติดในสิ่งที่เป็นความจริงให้ได้มากที่สุด แม้ความจริงเหล่านั้นจะเป็นความจริงที่เราจะต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เราก็ต้องยึดติด เราจะไม่หลอกตัวเราเองอีกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามทีเราหลอกตัวเองว่า "เรื่องที่เรารับไม่ได้เราก็จะหลอกตัวเองว่าเราไม่ได้ทำ" ทีนี้พอวันเวลาผ่านไป ช่วงเวลาเหล่านั้นในสมองของเราก็จะค่อยๆ หายไป เหมือนเราไม่เคยทำจริง ๆ มันเหมือนเป็นภาพในความฝัน ที่เบลอ ๆ แล้วก็ค่อย ๆ หายไปเองด้วยสิ
นี่ก็เป็นอีกทางหนึ่งนะที่เราใช้หลอกตัวเราเอง หลอกมาตลอด จนมาถึงทุกวันนี้ เราเลิกแล้ว เราพยายามอยู่กับคำว่า "สติ" อย่าพยายามให้ "สติ" หลุดลอยออกไป เพราะมันจะทำให้เราสามารถหลอกตัวเราเองได้อีกครั้งหนึ่ง
แน่นอนมนุษย์เกิดมาพร้อมตัณหา ใครบ้างไม่อยากมี ใครบ้างไม่อยากรวย เราก็อยาก เมื่อก่อนเราไม่คแร์หรอกนะ เราจะทำทุกทางถ้าทำให้เรามีเงิน แต่ยิ่งเรามัวเมาในตัณหามากเท่าไหร่ มันยิ่งทำร้ายเรามากเท่านั้น จนสุดท้าย เราก็ต้องกลับมาเดินในทางเดิม คือยึดในพระพุทธศาสนาให้มาก ๆ เดินทางสายกลาง ให้อภัยเยอะ ๆ อย่าไปอาฆาต พยาบาท เบียดเบียนใคร นี่คือสิ่งที่เราทำในวันนี้
แต่มันคงยังไม่เพียงพอ ชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเราเคยผิดศีลข้อ 4 มุสาวาทา เวระมณีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ (งดเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด รวมไปจนถึงการพูดจาไร้สาระ) เราทำผิดศีลไว้มากก็ได้ ทุกวันนี้ชีวิตของเราถึงเป็นเช่นนี้ ต่อให้สิ่งที่เราพูดจนแทบจะตะโกนออกไปเป็นความจริง ยังไม่มีใครเชื่อคำพูดของเราเลย
เราทำแต่ความดี ไม่ได้ไปป่าวประกาศให้ใครฟัง ก็เหมือนปิดทองหลังพระน่ะแหล่ะ ไม่อยากให้มีใครมารับรู้กับเราหรอก แต่เราก็พยายามนะ พยามยามจะยึดศีลข้อ 3 และ ข้อ 4 ไว้ให้มั่นคง แต่พอเราผิด เราพลาด เหมือนโดนซ้ำเลยอ่ะ
ทางออกสำหรับเรา ยังหาไม่เจอ
ชีวิตคู่ของเราก็ไม่มีความสุข
ชีวิตทางด้านการงานของเราก็ล้มเหลว
ชีวิตทางด้านการเงินก็ต้องประสบพบเจอกับมรสุมใหญ่หลวงนัก
ชีวิตของเราทำอะไรผิดมามากมายนัก แต่ตอนนี้เราก็เหนื่อยเหลือเกินแล้ว
เราพยายามเอาความดีเข้ามาช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เราไม่โทษฟ้าดิน หรือเทพ เทวดาต่าง ๆ หรอก แต่มันเป็นเพราะเวรกรรมของเราเอง เวรกรรมของเราคนเดียวที่มันหนักขนาดนี้ เราไม่สามารถบรรเทามันลงไปได้มากกว่านี้ ตอนนี้เราก็เลยต้องรับไปก่อนในผลแห่งกรรมที่เราได้เคยกระทำเอาไว้ แค่ในชาตินี้ก็หนักหนากสาหัส สากรรจ์แล้วที่เราได้กระทำไว้กับพ่อแม่ ญาติพี่น้องทั้งหลาย รวมไปจนถึงคนรักของเราในอดีต (เราผิดจนไม่น่าให้อภัย แต่ทุก ๆ คนก็ให้อภัย ให้โอกาสเราเสมอ) ในวันนี้ที่เราต้องเจอเวรกรรมนี้ เรารู้นะว่าเกิดจากอะไร แล้วเราก็ก้มหน้ารับชดใช้ในสิ่งที่เราได้เคยพูดจาทำลายใครหลาย ๆ คนไว้เมื่อในอดีต

วันนี้เวลาที่เราทำความดี เราก็ขอให้ความดีของเราเหล่านั้นจงส่งผลไปให้ถึงกับเจ้ากรรมนายเวรของเรา แค่ในชาติปัจจุบันนี่ก็เยอะแยะแล้ว ถ้าไปนับชาติอดีตด้วยก็ เหมือนกับสมควรแล้วแหล่ะ ที่วันนี้เรามีชีวิตเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังดีนะ ที่ี่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายยังเปิดทางให้เราได้มีทางเดิน มีช่องทางในการทำมาหากิน มีเงินมาเลี้ยงดูบุพการี และบุตร แม้จะไม่่มากมาย แต่ก็พออยู่ได้
เมื่อวานเราหมดแรง แต่วันนี้เรามีแรงสู้
วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน
พรุ่งนี้ก็จะดีกว่าวันนี้
วันนี้เรารู้จักแล้วกับคำว่า "พอดี และ พอเพียง"


เราเชื่อในเรื่องของเวรกรรม

เรา


มัวแต่เขียนถึงคน ๆ นั้น เลยลืมเล่าถึงตัวเราไปเลย
เมื่อก่อนเราเกิดมาบนกองเงินกองทองเลยนะ เค้าเรียกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด
จริง ๆ ตัวเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยนะ ถ้าอยู่ที่บ้าน ไม่ดิ้นรนไปอยู่กรุงเทพฯ ก็คงจะไม่มีวันนี้หรอก ไม่มีวันที่เราจะได้รู้จักกับคำว่าความทุกข์เลยจริง ๆ
ชีวิตก็คงจะไปเรื่อย ๆ ไปตามน้ำ ไปตามทางที่ผู้ใหญ่ขีดเขียนให้เดินตาม อันนี้เป็นเรื่องจริงนะ เพราะเมื่อก่อนเราก็ประมาณนี้แหล่ะ ชี้นกก็ว่าเป็นนก ชี้ไม้ก็ว่าเป็นไม้
แต่พอไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ได้ดีแค่ปีเดียว แล้วก็กลายร่างจากชีวิตของมนุษย์ ไปเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ตัวเงินตัวทอง" กันเลยทีเดียว
หายสาบสูญไปจากชีวิตครอบครัวจากวันนั้นจนถึงวันที่กลับบ้านก็ 6-7 ปีนี่แหล่ะ
ไม่เรียนต่อด้วยนะ เที่ยวอย่างเดียวเลย ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้ว่าเที่ยว ก็ส่งเงินให้ใช้ทุกอาทิตย์ โห! แต่เงินหมดภายในวันเดียวเลย ที่เหลือก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหามาได้ยังไง แบบว่า "งง" เพราะไม่ได้ขายตัวเหมือนเด็กสมัยนี้หรอก เที่ยวก็แบบเที่ยวอย่างเดียวเลย เมากลับบ้าน ตื่นมาก็ได้เวลาเที่ยวอีกแล้ว เป็นอย่างนี้แหล่ะ วนเวียนไปเรื่อย ๆ (ตอนนั้นเพิ่งอกหักจากคนรักคนแรกด้วยแหล่ะ แบบว่าเจ็บมาก ๆ เลยอ่ะ แต่ความเลวเกิดจากเราเองนะ เราผิดเองแหล่ะ เราดันไปมีผู้ชายอื่นแล้วแฟนเราก็ดันมาเจอเรานอนกอดกัน แบบว่ามันคงจะทำให้เค้าเจ็บมาก ๆ เลยว่าไม๊) วันนี้ที่พิมพ์นี่ยังละอายตัวเองเลยนะ ทำไมเราทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ แบบว่าเลวได้ไงอ่ะ อาจจะเกิดจากเค้าไม่มีเวลาให้ด้วยแหล่ะ ถามว่าเรารักเค้าไม๊ ทุกวันนี้เราก็เหลือเพียงความห่วงใยที่เรามีให้เค้าฝ่ายเดียว ส่วนฝ่ายเค้าอาจจะเกลียดเรามากกว่าขี้อีกซะด้วยมั้ง 555
วันนี้หัวเราะได้ แต่ละอายใจจริง ๆ นะ แบบว่าทำกับเค้าได้ยังไงอ่ะ เค้าเป็นคนดีที่แสนวิเศษจริง ๆ นะ เป็นคนมีเหตุผล เป็นคนที่รักเดียวใจเดียว ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า แบบว่าตอนนั้นไม่รู้ผีห่า ซาตานตนไหนสิงก็ไม่รู้ ทุกวันนี้เราก็ยังคิดว่าเค้าเป็นคนดีแสนวิเศษเช่นเดิมอยู่
เชื่อไม๊ เค้ายังไม่ได้แต่งงานเลยนะ ในขณะที่เรามีลูกชาย 1 คน แล้วแหล่ะ
เห็นเค้าทุกครั้งรู้สึกผิดมาก ๆ เลย ก็เลยพยายามจะเลี่ยงไม่ต้องเจอกันน่ะดีแล้ว เรารู้ไงว่าเราจะหาเค้าเจอได้ที่ไหน ที่ที่เราอยู่มันเป็นจังหวัดเล็ก ๆ เราเจอเค้าได้ตลอดเวลาเลยนะ แต่เค้าคงไม่อยากเจอเราหรอก 5555
สมน้ำหน้า (ตัวเอง)
เค้าบอกว่าเห็นกงจักเป็นดอกบัว แล้วเป็นไงล่ะชีวิตตอนนี้ 555 ต้องชดใช้กรรมให้เค้าไป สามีก็นอกใจตลอดเวลาอยู่ด้วยกันมา จนลูกจะ 5 ขวบอยู่แล้ว สามีก็ยังนอกใจ ตั้งแต่ลูกอายุได้ 6 เดือน คิดเอาแล้วกันนะ ว่ามันแสบสันขนาดไหน ทุกวันนี้สามีก็ยังนอกใจอยู่ 55
เวรกรรมติดจรวดจริง ๆ
แบบว่าเห็นกันจะ ๆ ในชาตินี้แหล่ะไม่ต้องไปรอมันแล้วชาติหน้า เวรกรรมสมัยนี้มันตามทันแบบเห็นทันตาเลย เลิกกับเค้าไปไม่ถึง 2 ปีเลย ได้มาเจอกับสามี เราก็รู้สึกนะว่าแหมสามีของเรานิสัยไม่เหมือนแฟนคนแรกเลยอ่ะ เค้าแบบเถื่อน ๆ ดิบ ๆ อ่ะ ไม่ตามใจ ไม่โอ๋เราเลย ที่ไหนได้ สามีเป็นอย่างนั้นจริง ๆ วันเกิดเรายังจำไม่ได้เลย วันครบรอบก็ไม่มี วันวาเลนไทน์อย่าไปฝัน
นี่แหล่ะหนา เวรกรรม
เราก็คงต้องรอต่อไปเมื่อไหร่เวรกรรมเหล่านี้จะหมดไปสักที เวลาทำบุญก็จะพยายามคิดถึงคนที่เราทำให้เค้าเจ็บแสบไว้เสมอนะ ไม่ว่าจะเป็นแฟนคนแรก หรืออดีตคนรัก รวมไปจนถึงสามีคนปัจจุบันนี้แหล่ะ ทำตลอดเลยนะ ทำเพื่อให้วันหนึ่ง เวรกรรมเหล่านี้จะได้หมดไปสักที เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้เป็นอิสระ สามารถปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการกรรมเหล่านี้ไปได้ ไม่รู้ว่าจะได้เห็นภายในชาตินี้ไม๊
เฮ้อ! นี่แหล่ะหนาเวรกรรม

เค้า (ผู้ชายคนนั้น)


เมื่อไหร่ตัวเราจะสามารถหลุดพ้นจากคน ๆ นี้ได้สักที
เมื่อไหร่เราจะมีอิสระจากคน ๆ นี้สักที
วันนี้เราได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง จากญาติพี่น้องของเรา แต่เค้าคนนั้นสามารถพูดทำให้ญาติพี่น้องของเราต้องถอยห่างออกไปอีก "นี่เป็นครั้งแรกที่เราร้องขอความช่วยเหลือจากพ่อ และท่านก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเราและลูกรวมไปถึงแม่ของเราด้วย" แต่เค้าคนนั้นสามารถหยุดทุกอย่างได้ หยุดพ่อของเราได้ พ่อที่มีอำนาจ พ่อที่มีบารมี แต่พ่อไม่สามารถช่วยเหลือเราได้ เพราะคำ ๆ เดียวเท่านั้น "นี่คือเรื่องภายในครอบครัว" แล้วชีวิตของเราล่ะ ชีวิตของเราทุกวันนี้เรายังตกนรกไม่พออีกเหรอ "ชีวิตของเราได้รวมอยู่ในคำ ๆ นี้ด้วยไม๊ คำว่า ครอบครัว"
เราอดทนมาตลอดระยะเวลา 6 ปี เราทำทุกอย่างที่จะหาเงินมาได้ โดยไม่ได้เบียดเบียนชีวิตใคร เอาแรงกายเข้าแลก เราทำมาหมดแล้ว ชีวิตนี้อะไรที่เราไม่เคยทำ เราก็ต้องทำเพราะผู้ชายคนนี้
เราต้องขอบคุณผู้ชายคนนี้มาก ๆ เลยนะ เค้าสอนให้เราได้รู้จักคำว่า "ชีวิต" สอนให้เราได้รู้จักคำว่า "ความทุกข์" และสุดท้ายเค้าก็เป็นคนสอนให้เราได้รู้จักกับคำว่า "การพ้นทุกข์"
เค้าทำให้เราต้องดิ้นรนหาทางหนีความทุกข์ต่าง ๆ นานา สุดท้าย เราก็ต้องพึ่งทางธรรม การสวดมนต์ การทำบุญ การทำทาน ซึ่งสิ่งที่เราทำนั้น เค้ามองว่าเป็นสิ่งไร้สาระ
เรามีเรื่องราวมากมายที่อยากระบายออกไป ในตอนนี้เราทำบทความนี้เราก็ร้องไห้นะ แล้วไง เราต้องร้องไห้อีกกี่ครั้งเหรอ เราต้องให้อภัยผู้ชายคนนี้อีกกี่ครั้งเหรอ เราต้องเป็นผู้ให้กับผู้ชายคนนี้อีกนานแค่ไหนเหรอ
ทุก ๆ คำถาม เรามีคำตอบให้ตัวเองนะ พี่สาวของเราเคยบอกว่า "คนทุกคนมีขีดจำกัดของความอดทน เมื่อไหร่ที่มันหมด ก็คือเมื่อนั้น" และวันนี้ก็มาถึงแล้วจริง ๆ
เรากับเค้ายังไม่ได้แยกบ้านกันอยู่ด้วยซ้ำ แต่เรากับเค้าเหมือนห่างไกลกันเหลือเกิน ค่อย ๆ ห่างไปทีละนิด จนมารู้สึกได้ก็เป็นตอนที่ไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ เค้าแล้วนั่นแหล่ะ ก็ไม่เชิงนะ ว่าไม่อยากอยู่ใกล้ แต่อยากอยู่เฉย ๆ แบบไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันมากกว่า ไม่มีความห่วงใยเหลือเลย บางทีก็ถามตัวเองเหมือนกันนะ "เราไม่ห่วงเค้าแล้วเหรอ"
ตอบ ห่วงนะ แต่อยู่ลึก ๆ ในใจ ออกจะเฉยๆ ซะมากกว่า
พอเฉยไปมาก ๆ เค้าก็คงเริ่มรู้สึกได้มั้งว่าเราน่าจะเปลี่ยนไป ก็เลยคิดไปโน่นเลย "หาว่าเรานอกใจ หาว่าเราไปขายตัว" อืม เป้นคนที่มีความคิดที่ดีจริง ๆ คิดได้
เรามีอาชีพเป็นหมอนวด แต่ไม่ได้ขายตัวนี่นา ทำไมเหรออาชีพหมอนวด ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรีเหรอ
เคยเห็นหมอนวดที่สามารถรักษาคนให้หายได้ไม๊ (นั่นแหล่ะเรา อาชีพยังไม่ 30 แต่เราทำได้ แค่เราใส่ใจลงไปในงานที่ทำ)
นี่คืองานที่เรารักจริง ๆ แม้เงินจะได้เพียงนิดหน่อย แต่แลกมาด้วยแรงกายที่เสียไป ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่หรอกนะ แต่เรามีความสุขที่ได้เห็นคนไข้หาย หรือแค่ทำให้เค้าดีขึ้น เราก็รู้สึกดีแล้วล่ะ (แล้วทำไมเราต้องขายตัว การไม่มีเงิน ไม่เห็นจำเป็นจะต้องขายตัวแลกเงินมาเลยนี่นา)
อาชีพหมอนวด เป็นอาชีพที่มีครูบาอาจารย์ และเป็นอาชีพที่บรรพบุรุษส่งต่อให้ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นนะ อาชีพนี้ เป็นอาชีพที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ คนบางคนอยากเรียนมาก ๆ แต่ไม่สามารถเรียนได้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่เรียนแล้วนำอาชีพนี้่ไปทำอาชีพอื่นแฝงเอาไว้อีกต่างหาก อันนี้ก็มี
เราไม่ว่าผู้ชายคนนั้นหรอกที่เค้าจะคิดแบบนี้ แต่เราเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่เราทำว่า "สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ดีงาม"
เราอยากให้เค้าคนนั้นให้กำลังใจเราบ้าง แต่เราคงขอมากไปมั้ง
เราอยากให้เค้าคนนั้นรู้จักกับคำว่าความสุขในวันนี้ แต่เค้าคงมองการณ์ไกลกว่าเรา
เราอยากให้เค้าคนนั้นพอใจในสิ่งที่เรามี แต่เค้าคงอยากให้เรามั่นคง
เราพอใจแล้วในวันนี้ที่เราได้มีงานทำ เราพอใจแล้วในวันนี้ที่พรุ่งนี้เรามีเงินให้ลูกไปโรงเรียน พาคุณแม่ไปทำบุญ และซื้อกับข้าวมากินที่บ้าน แต่ทำไมเค้าคนนั้นไม่รู้จัก "พอ"

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ประเทศไทย


ประเทศไทย เคยได้ชื่อว่า เป็นสยามเมืองยิ้ม
เพราะประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินไทยแห่งนี้ มีความรักใคร่ , ความสามัคคี, ปรองดองกัน, ไม่ได้มีใครคิดร้ายต่อกันเหมือนเช่นทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักกัน หรือคนแปลกหน้า คนในรุ่นพ่อแม่ของพวกเราทุกคนก็ยิ้มให้กัน เหมือนเป็นการทักทายประจำวัน เป็นการทักทายประจำชีวิตของทุก ๆ คน
นี่ผ่านมาเพียง 1 รุ่น แทบจะไม่ค่อยได้เห็นคนไทย ยิ้มให้กันเลย แต่ไปยิ้มให้คนต่างชาติส่วนใหญ่ ก็เป็นข้อดีนะ ทำให้คนต่างชาติยังรู้สึกได้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยังได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้ม
รู้ไม๊ว่าการยิ้ม จะทำให้คุณหน้าแก่น้อยลง แต่ถ้าคุณทำหน้าเคร่งเครียด คุณจะหน้าแก่เร็วมาก ๆ เพราะกล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานหนัก แต่ทำไมจึงไม่ค่อยเห็นคนไทยยิ้มให้กัน เพราะในสังคมปัจจุบันมีความเห็นแก่ตัว , ความโลภมาก และกลัวคนอื่นได้ในสิ่งที่ดีกว่า การยิ้มให้กันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จึงเป็นการยิ้มแบบมีผลประโยชน์
ทำไมคุณถึงไม่ยิ้ม ออกมาจากใจ
ประเทศไทยได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้ม เพราะคนในสมัยก่อน ยิ้มออกมาจากใจ ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน ไม่ว่าใครจะดุ จะด่า หรือหาว่าคนไทยโง่ แต่คนไทยก็ยิ้มไว้ก่อน เพราะคนไทย ไม่ได้คิดว่าตัวเราเป็นเหมือนที่คุณ ๆ บอกมา
คนไทยเป็นคนใจดี คนไทยอยากเห็นคนอื่นมีความสุข ถึงแม้ตัวคนไทยเองจะต้องทุกข์ก็ตามที
สิ่งที่พ่อของแผ่นดินไทยเคยสอนไว้เสมอด้วยการปฏิบัติตนเองให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน ประชาชนชาวไทย
ไม่ว่าพ่อของแผ่นดินไทยจะเหนื่อยสักเพียงใด พ่อของแผ่นดินพระองค์นี้ก็จะยิ้มให้ลูกหลานประชาชนของพระองค์เสมอ

แล้วตัวประชาชนไทย ทำไมไม่ยิ้มให้กำลังใจกันเองบ้าง
ในเมื่อตอนนี้เศรษฐกิจของประเทศแย่ขนาดนี้แล้ว เราคนไทยด้วยกัน ยังต้องแข่งขันกันเพื่อเอาชนะอีกเหรอ ทำไมไม่เห็นใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เหมือนในรุ่นบรรพบุรุษของเราเคยทำ และทำให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤติทุก ๆ อย่างมาได้
คนเพียงหนึ่งคนอาจะไม่มีพลังมากเพียงพอ แต่คนไทยมีประมาณ 70 ล้านคน เราคนไทยจะไม่มีพลังต่อสู้กับภัยเศรษฐกิจครั้งนี้เลยเหรอ
เราคนไทยเพียงหยิบมือ สามารถต่อสู้คนต่างประเทศได้เป็นกองทัพ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับลูกหลานของบรรพบุรษซึ่งเก่งกล้า เรายอมแพ้แล้วเหรอ
คนไทยยอมแพ้ในโชคชะตาแล้วเหรอ
คนไทยปล่อยให้ชีวิตเราลอยไปเรื่อย ๆ ตามน้ำ เหมือนผักตบชวาเหรอ
ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาสู้ ลืมตาขึ้นมาดูล่ะ

เศรษฐกิจในตอนนี้เกิดจากกอะไร
เราคงไม่อยากให้ประเทศของเราค่อย ๆ ถูกคนต่างชาติกลืนไปทีละเล็กทีละน้อยหรอกใช่ไม๊
ตอนนี้ก็หายไปเยอะแล้วนะ
ลืมตาเถ่อะพี่น้องประชาชนไทย
ลืมตาขึ้นมาดู
เลิกเห็นแก่ตัว เลิกเห็นแก่เงินตรา เลิกเห็นแก่อำนาจ

ถ้าประเทศไทยอยู่ไม่ได้ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนได้เหรอ เรามีเงินไปอยู่ต่างประเทศเหมือนคนรวยหรือไม่ เรามีเงินพอจะย้ายถิ่นฐานเหรอ
ทำไมคุณไม่คิดว่าในตอนนี้เรายังมีแผ่นดินเกิด แผ่นดินที่บรรพชนเก็บไว้ให้เรา ทำไมเราไม่รักษาล่ะ จะรอให้ไม่เหลืออะไรก่อนเหรอ
ตื่นได้แล้วนะทุก ๆ คน
เราก็ไม่ใช่คนเก่งที่ไหนหรอก แต่เราเป็นคนไทย เป็นลูกคนหนึ่งของพ่อหลวง เป็นลูกที่รักแผ่นดินเกิดและไม่อยากสูญเสียแผ่นดินเกิดแห่งนี้ให้กับคนชาติอื่น เรายังอยากเป็นลูกของพ่อสืบต่อไป
ขอให้ทุก ๆ คน ตื่นเถ่อะนะ
ขอพลังจากพระสยามเทวาธิราช ช่วยปกปักรักษา คุ้มครองพ่อหลวงของแผ่นดินไทย รวมไปจนถึงพื้นแผ่นดินแห่งนี้ให้อยู่ในนามของประเทศไทยสืบต่อไปด้วยเถิดเพื่อลูก เพื่อหลาน เพื่อประชาชนไทยซึ่งน้อยคนนักจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นี้

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

หมดแล้ว


วันที่หมดแล้วซึ่งความรัก
วันที่หมดแล้วซึ่งความผูกพัน
วันที่หมดแล้วซึ่งความห่วงใย
วันที่หมดแล้วซึ่งความเอื้ออาทร
มันช่างง่ายดายเหลือเกิน หลังจากที่เราต้องทนมา 6 ปี สำหรับผู้ชายเลว ๆ คนหนึ่ง เวลาที่ความผูกพันเหล่านี้หมดลง มันช่างง่ายจริง ๆ ไม่เหลือ แม้เศษเสี้ยวของความห่วงใยอีกต่อไป
เราไม่ได้มีคนใหม่เลยนะ เรายังไม่มีใครเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นมาจากตัวเค้าเองทั้งหมด เค้ายังทำตัวเหมือนเดิม งี่เง่าเหมือนเดิม มีผู้หญิงคนอื่นเหมือนเดิม
"จำได้มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า เมื่อไหร่ที่มันหมด มันก็หมดน่ะแหล่ะ มันจะไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว หมดก็คือหมด"
วันนี้รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง ความอดทนที่เราเคยคิดว่า ถ้ามันหมดแล้ว เรายังสามารถทนต่อไปได้อีก ทนต่อไปได้เรื่อย ๆ ความอดทนของคนเราไม่มีวันหมด "แต่วันนี้มันได้หมดแล้วจริง ๆ"
มันเกิดขึ้นหลังจากวันที่เราไม่มีเงินให้เค้าผลาญ ไม่สามารถหาอะไรมาปรนเปรอให้เค้าได้อีกต่อไป เค้าเริ่มแสดงอาการเห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ มากจนน่าเกลียด แล้วยังมาพาลใส่แม่ของเรา แม่ซึ่งให้เค้ามากกว่าแม่ของเค้าเองด้วยซ้ำ "คนอย่างนี้เค้าเรียกไม่มีความกตัญญู" ซึ่งตรงจุดนี้เรารับไม่ได้ แม่ของเราเลี้ยงเรามาจนโตขนาดนี้แล้ว เลี้ยงมาโดยลำพัง และทุกวันนี้แม่ของเราก็เลี้ยงลูกของเรา จำเป็นไม๊ที่เราต้องให้ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันแม่แค่ 6 ปีมาทำร้ายจิตใจของแม่เรา
เราคงไม่อยากเป็นลูกทรพีอีกต่อไปแล้ว
เราอยากเป็นคนดี
แต่ทำไมเส้นทางแห่งความเป็นคนดีมันลำบากยากเย็นจริง ๆ เลย
เราเหนื่อยจริง ๆ
เมื่อความอดทนสิ้นสุดลง เราจึงไม่เหลือแล้วซึ่งความสงสารที่เคยมีให้เค้าอีกต่อไป จะเหลือแค่ความทรงจำซึ่งต้องบอกว่า แทบจะไม่เคยมีความทรงจำดี ๆ กับคน ๆ นี้้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมา 6 ปี
เค้าไม่เคยให้อะไรเราเลย ความสุขก็แทบจะสัมผัสไม่ได้ เค้าเคยปรับเปลี่ยนตัวเองเข้ามาหาเราบ้างไม๊
วันนี้เราไม่เหลือแล้วสำหรับน้ำตาที่มีไว้ให้กับเค้า

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

อาขีพหมอนวด


ดิฉันเป็นหมอนวด "หมอนวดแผนไทย และหมอนวดแผนโบราณ" ดังนั้นเราจึงเป็นคนที่ให้เกียรติ และถือว่าอาชีพนี้มีศักดิ์ศรีที่ค่อนข้างมาก เพราะอาชีพนี้ สามารถใช้ในการรักษาหรือบำบัดอาการของโรคข้างต้นได้ ด้วยมือ 2 ข้าง หรือด้วยอวัยวะในส่วนอื่น ๆ ของหมอนวด ไม่ว่าจะเป็น เข่า , ศอก, รวมไปจนถึงเท้า
แต่ในปัจจุบันสังคมไทย ยังมองหมอนวดในทางที่ไม่ดี ในภาพลักษณ์ซึ่งดิฉันจำเป็นต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ในวันนี้่หลาย ๆ คนในสังคมไทยมองอาชีพหมอนวด เป็นอีกภาพหนึ่งที่ไม่ดีเลยในสายตาของหลาย ๆ คน ซึ่งก็เกิดจากการทำตัวของหมอนวดเหล่านั้นเอง ซึ่งดิฉันอาจจะพูดคำ ๆ นี้แรงไปนะ
"ปลาเน่าตัวเดียว ทำให้ปลาเน่าทั้งเข่ง"
คำพูดนี้คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ สังคมไทยมองดูหมอนวด เหมือนผู้หญิงขายบริการ เป็นอาชีพที่ต่ำต้อยและไม่มีคุณค่า ถึงแม้ดิฉันจะเพิ่งเรียนรู้ และอยากที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ในมุมมองต่าง ๆ ของหลาย ๆ คนให้ดีขึ้น เพียงดิฉันคนเดียว คงไม่เพียงพอที่จะสามารถพลิกผันความคิดของหลาย ๆ ท่านได้
เพียงอยากขอสักนิด ขอให้ท่านคิด และให้เกียรติในอาชีพที่ดิฉันกำลังทำอยู่ เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เป็นการสืบทดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และเป็นอาชีพที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
แต่ก็ยังมีบุคคลกล่มหนึ่งต้องการให้อาชีพนี้ เปรียบเสมือนผู้หญิงบริการ
นี่หรือคุณค่าของคนที่ช่วยเหลือคนในสังคมของคนไทย
ดิฉันไม่เคยปรารถนาให้ใครมายกย่อง หรือมามองว่าดี หรือเก่งแต่อย่างใด
แต่ดิฉันอยากให้หลาย ๆ คนได้รู้จักกับอาชีพนี้ให้ดีจริง ๆ ก่อนที่จะบอกว่า "แค่หมอนวด.

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

หาทางออก



ถามตัวเองหลายร้อยครั้งแล้วนะ
ในระยเวลาประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ที่เราต้องมาเป็นแบบนี้
ถามตัวเองมาตลอดเลย
เราไปทำอะไรผิดเหรอ
ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้
คำตอบ
ชีวิตของคนเราไม่แน่นอน มีสุข แล้วเดี๋ยวก็ทุกข์ และเวลาทุกข์ ทุกข์ถนัดเลยทีเดียว ความสุขแป๊ปเดียว ความทุกข์นี่ นานแสนนาน อันนี้เป็นเรื่องจริง ตัวเราเพิ่งอายุเต็ม 29 เมื่อไม่นานมานี้ แต่ตอนนี้เหมือนรู้สึกว่าตัวเองควรปลงได้มากกว่านี้แล้ว เพราะทุก ๆ อย่างที่เราโดนมามันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่มีความสุขที่จีรังแม้ครั้งเดียวในชีวิตของเราก็ไม่มี นับได้เลยตั้งแต่เราอัปเปหิตัวเองออกไปจากบ้านโรงสี จนถึงทุกวันนี้ชีวิตของเราขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอด เหมือนกราฟที่ขึ้นไปสูงจนถึง 12 แล้วลงมาที่ 1 เป็นอย่างนี้แทบจะ ปีต่อปีเลยด้วยซ้ำ
พอเจอกับเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ เราก็ต้องกลับมาถามตัวเองนะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย เพราะเราทำตัวไม่ดีเหรอ เมื่อก่อนมีเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ส่งให้ไปเรียนหนังสือก็เรียนไม่จบ แถมได้สามีกับลูกกลับมาฝากที่บ้านอีกต่างหาก นี่คือผลแห่งกรรมที่เราได้เคยกระทำไว้ใช่ไม๊
เราเชื่อมากเลยนะ สำหรับคำว่า "กฎแห่งกรรม"
ใครทำกรรมใดไว้ คุณต้องได้รับในกรรมนั้น
สำหรับเราทำกรรมไว้มากที่สุด ก็เรื่องความรักที่หลอกลวงทำให้คนอื่นเจ็บปวด ส่วนที่หนักที่สุดอีกเรื่อง คือทำให้ผู้มีพระคุณเสียน้ำตา (จัดได้ว่าน่าจะเป็นคนเลวได้แล้วในตอนนั้น)
พอตอนนี้ เรากลับมาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ใหม่ (คิดใหม่ ทำใหม่จริง ๆ เลย)
พยายามคิดให้ดี ๆ ทำชั่วให้น้อยลง ทำความดีให้มากขึ้น อันนี้คิดทุกวัน และพยายามทำให้ได้ดีทุกวัน แต่ก็ยังเจอแต่กับเรื่องที่น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่ร้านที่เราไปทำงานเป็นลูกจ้างเค้า แหมเคยมีคนมานวดเยอะแยะ พอเราไปขอทำงานนวดบ้าง ไม่ค่อยมีคนเลยอ่ะ
เมื่อคืนกลับบ้านมา ไม่มีน้ำตานะ แต่แม่กับลูกชายลงไปรับ แล้วถามว่าเป็นไงบ้าง นี่คือคำถามที่แม่ถามทุกวัน ว่ามีลูกค้าเยอะไม๊ เหนื่อยไม๊ เราตอนแม่ไปว่า ไม่มีเลย แม่ถึงกับงงไปเลย ทำไมถึงไม่มีอะ เพราะในจังหวัดที่เราอยู่ ค่อนข้างจะชอบการนวดกันมากจริง ๆ เรียกว่าเสพติดก็ได้ แต่ทำไมไม่มีคนอืม น่าคิด ไม่มีมา 2-3 วันแล้วนะ
เราก็พยายามเอาหน้าที่ไม่ค่อยหนาของเราเนี่ยแหล่ะ ไปหาบรรดาไฮโซทั้งหลายที่เรารู้จักในตัวเมือง ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเค้าจะมานวดไม๊
เฮ้อ ร้านก็ไม่ใช่ของเรา แต่เราเหนื่อยจริง ๆ นะ เหมือนจะไม่มีทางให้เราได้เดินไปเลยจริงๆ
ในขณะที่คนบางคน ไม่เคยมีความสำนึกในบุญคุณของคนที่เลี้ยงดูตัวเองมา โกงใครได้ก็รีบโกง เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ไม่เคยมีคำว่าเมตตาเลยจริง ๆ
ทำไมเค้าถึงเจริญอ่ะ ทำไมเค้าถึงมีเงินได้ไม่สิ้นสุดล่ะ
คนที่ซื่อสัตย์จะต้องอดตายใช่ไม๊ ส่วนคนที่ขยันโกงกินจะอยู่สบายใช่ไม๊

ชีวิต



เคยรู้สึกไม๊
"ทำไมภาระเราเยอะจัง"
"ทำไมเราต้องลำบากขนาดนี้"
"ทำไมคนอื่นไม่เห็นต้องลำบากเหมือนเราเลย"
"ทำไมไม่เห็นเค้าต้องรู้สึกผิดเวลาที่ทำอะไรไม่ดีก็แล้วแต่"
เพราะคนแต่ละคนแตกต่างกัน โตขึ้นมาบนบรรทัดฐานเดียวกัน แต่ก็ยังต่างกันในด้านของความคิด
สิ่งนี้เราขอเรียกว่า "จิตสำนึก"
ในวันนี้ วันที่เราได้กลายเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ไม่ใช่คุณแม่อีกต่อไปแล้ว
ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหล่านี้ มันจึงมีมากมาย เหนื่อยทุกอย่าง เหนื่อยทุกเรื่อง
ตอนที่คุณแม่เลี้ยงฉันมา สบายกว่านี้ ตอนนี้ฐานะทางบ้านของเรารวยกว่านี้หลายร้อยเท่า
แต่ช่างเถ่อะ
วันนี้ถึงจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตามที
เราก็มีความสุขนะ ถ้าหากวันใดคุณสามีของเราไม่อยากได้อะไรที่มันเกินตัว เกินฐานะ
เรามีความสุข เป็นช่วง ๆ แต่ละช่วงจะขึ้นอยู่กับสามีเป็นหลัก
แต่ช่างเถ่อะ
ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาไม่ใช่หรือ
ทุกชีวิตล้วนเกิดมาบนวิถีทางแห่งชีวิตของตนเอง
ต้องบอกว่า ย่ากับป้าหลาย ๆ ท่านที่เลี้ยงเรามา ท่านสอนเรามาดี
ท่านสอนให้เรามี "จิตสำนึกในบุญคุณของบุพการี" และ"การเกรงกลัวการทำบาป"
ตอนที่พวกท่าน ๆ ยังอยู่ก็ไม่ค่อยจะสำนึกเท่าไหร่นักหรอก
วันนี้ หลาย ๆ ท่านได้จากเราไปไกลซะแล้ว ยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณของค่าน้ำนมเลยด้วยซ้ำ
เราไม่ได้ทานนมแม่ เราทานนมป้า ๆ ที่มีลูกรุ่นราวคราวเดียวกันมา
คำสอนต่าง ๆ
ทำให้เรากลายเป็นคนกลัวการทำบาปมาก ๆ ๆ ๆ ๆ
เราชอบทำบุญ เราชอบสวดมนต์ เราชอบคิดดี แค่ผิดศีลไป 1 ข้อ เครียดไป 3 วัน ต้องไปขอรับศีลใหม่จากพระที่วัด
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเผลอปุ๊บ จะต้องมีอะไรมาทำให้เราผิดในสิ่งที่เราทำ อาจจะลืมใส่บาตร ลืมสวดมนต์ ซึ่งถ้าให้พูดกันจริง ๆ แล้ว บางทีก็ท้อจริง ๆ น่ะแหล่ะ เมื่อไหร่ผลแห่งการกระทำความดีจะบังเกิด ขนาดไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำ ยังไม่มีงานให้ทำเลย คิดเอาก็แล้วกัน มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
เพราะเราทำความดีมากไปรึเปล่า เจ้ากรรมนายเวรของเราก็เลยมาทวงเยอะ
แต่อันนี้ไม่น่าเกี่ยว
งงเหมือนกันนะ หาทางออกไม่ได้
เจอทางตัน
มีอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวอย่างเดียวเองที่ทำเป็น พอลูกค้าน้อยก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วตอนนี้ ต้องบอกว่า "งงกับชีวิต" มาก ๆ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ความฝัน



ผู้หญิงทุกคนเกิดมา อยากมีชีวิตที่ดี อยากมีคนที่สามารถดูแลเราได้ อยากมีคนที่คอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา อยากมีวันได้แต่งงาน อยากมีวันที่มีครอบครัวที่มีความสุข
นี่คงเป็นคำขอที่มากเกินไปสำหรับผู้หญิงทุก ๆ คน เพราะแทบจะน้อยมากเลยนะที่จะได้สมหวังดังที่ต้องการด้านบนทุกหัวข้อ
รวมถึงดิฉันเองด้วย
ดิฉันไม่ได้มีครอบครัวที่มีความสุข แต่ดิฉันนำคำสอนของหลวงพ่อจรัล ฐิตตธัมโม (เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) มาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
"คำว่าครอบครัว จุดหลักอยู่ที่แม่ทั้งนั้น ถ้าแม่เป็นคนที่เข้มแข็ง อดทน เก่ง อดกลั้น ให้อภัยได้ ครอบครัวนั้นไม่ต้องกลัว ลูกจะดี อย่าไปคิดว่าต้องให้พ่อมันดีนะ ถึงแม้ว่าถ้าพ่อดี แต่แม่เหลวแหลก ยังไงครอบครัวนี้ก็พัง"
"แม่กัน พ่อแก้ และลูกก่อ"
นี่คือคำสอนของหลวงพ่อจรัล

คือ ไม่ว่ายังไง คนที่เป็นแม่ ในเมื่อวันนี้เราเป็นแม่คนได้ เราต้องผ่านความอดทนมาตั้งแต่ตอนที่เราท้อง 9 เดือนแล้ว ไหนจะต้องผ่าตัดคลอดลูก ไหนจะต้องเลี้ยงลูกทั้ง ๆ ที่เจ็บแผล ดิฉันว่า ความอดทนคนเรายังมีเหลือมากกว่านี้อีกเยอะ โดยเฉพาะกับผู้หญิงแล้ว ความอดทนของผู้หญิง ไม่มีขีดจำกัดจริง ๆ
ดิฉันประสบมากับตัวเองแล้วคำ ๆ นี้ ดิฉันสามารถอดทนได้ทุกอย่าง เพื่อลูก
ในวันนี้ต้องบอกว่าดิฉันละทิ้งแล้วสำหรับทุกความฝันที่ดิฉันเคยฝันไว้ เพราะมันไม่สามารถเป็นจริงได้ หากสามีของเรายังเป็นเช่นทุกวันนี้อยู่
ฝันของดิฉันในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย
ฝันขอดิฉันในวันนี้มีแค่นี้เอง
"ขอแค่ให้ได้มีงานทำ ขอแค่ให้ได้มีเงินส่งเสียลูกเรียนหนังสือให้จบ ขอแค่ให้ได้มีเงินเลี้ยงดูแม่ที่แก่แล้ว ถึงแม้ดิฉันจะต้องขี่มอเตอร์ไซด์รับ-ส่งลูกไปจนชั่วชีวิต ถึงแม้ดิฉันจะไม่มีปัญญาซื้อบ้านให้ลูกก็ตาม ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่พยายาม แต่ดิฉันคิดว่า ดิฉันทำวันนี้ได้แค่นี้ ดิฉันทำวันนี้ได้ดีที่สุดแค่นี้แล้ว พรุ่งนี้ดิฉันมีเงินซื้อกับข้าวให้แม่กับลูกทาน มีเงินเหลือนิดหน่อยไปทำบุญที่วัด"

นี่คือสิ่งที่ดิฉันขอ และขอให้ได้ทำทุกวัน รวมไปถึงขอให้มันได้เป็นความจริงในทุก ๆ วันด้วย
อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เพราะบางทีดิฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่เวลาที่เราได้เห็นหน้าคนที่เค้ารอเราอยู่ข้างหลัง มันเหมือนทำให้เรามีพลังที่จะลุกขึ้นสู้นะ สู้เพื่อเค้า สู้เพื่อคนที่เค้ารักเรา และไม่เคยทำร้ายเราเลยจริง ๆ
ทุกวันนี้ดิฉันก็สู้ และจะสู้ต่อไป
ในเมื่อวันนี้ดิฉันมีงานทำ ดิฉันจะพยายาม เพื่อความฝันเล็ก ๆ ในวันนี้จะได้เป็นความจริงในทุก ๆ วัน

เพื่อลูก เพื่ออนาคต


สมัยตอนเป็นนักเรียน คุณครูเคยสอนเสมอว่า
"ครอบครัวเป็นสังคมเหมือนกัน แต่เป็นสังคมเล็ก ๆ และอยู่ใกล้กับตัวเรามากที่สุด"
"ครอบครัวสามารถสอนให้เด็กคนหนึ่ง เป็นคนดี หรือเป็นคนเลวได้ในเวลาเดียวกัน"
"ครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับทุก ๆ อย่างที่เด็ก ๆ จะสามารถเรียนรู้ได้"
"ครอบครัวคือสิ่งที่คนบางคน ต้องการ ขวนขวาย ค้นหา และพยายาม แต่ไม่เคยพบเจอจนชั่วชีวิต"
ดิฉันก็เป็นเช่นกัน
สำหรับดิฉันครอบครัว เป็นเหมือนความฝันตลอดเวลา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ดิฉันจะมีครอบครัวแล้วก็ตาม มีแม่ของเรา มีลูกของเรา และมีสามีเป็นของเรา แต่มันไม่เคยเหมือนที่ดิฉันฝันไว้เลยจริง ๆ
"ไม่เคยมีภาพที่พ่อแม่ และลูกหยอกล้อกัน"
"ไม่เคยมีภาพที่พ่อจะทำให้ลูกหัวเราะให้ได้เห็นบ่อย ๆ"
"ไม่เคยมีภาพที่พ่อสอนลูกให้อ่าน หรือเขียนหนังสือเลย"
สำหรับดิฉัน สามีแทบจะไม่มีบทบาทสำคัญเลย ภายในครอบครัวเล็ก ๆ ของดิฉันเอง สามีของดิฉันเค้ากำลังคิดอะไรอยู่เหรอ เค้ากำลังมองหาสิ่งที่เรียกว่าความฝันของตัวเอง และทำให้เป็นจริงให้ได้ในทุก ๆ ทางที่มีโอกาส แต่เค้าไม่สามารถทำให้วันนี้ชีวิตของเค้ามีความสุขได้จริง ๆ
ดิฉันคิดนะ "ถ้าวันนี้เรายังไม่มีความสุข แล้วพรุ่งนี้เราจะมีเหรอ"
ดิฉันไม่เคยขอให้เค้าร่ำรวย ไม่เคยขอให้เค้าเป็นผู้นำที่ดี ไม่เคยขอให้เค้าเลิกเจ้าชู้ ไม่เคยขอให้เค้าทำอะไรเพื่อดิฉันเลย แต่ดิฉันขอแค่ให้เค้ารักและสามารถดูแลลูกได้ ถ้าเมื่อวันใดไม่มีดิฉันอยู่ แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก
ดิฉันขอแค่ให้เค้ารักลูกมาก ๆ
ดิฉันขอแค่ให้เค้าดูแลลูกบ้างเมื่อมีเวลา
ดิฉันอยากให้พ่อกับลูกมีความผูกพันกันบ้างไม่ต้องมากมาย
ดิฉันอยากให้ลูกรู้ว่า "พ่อมีหน้าที่ปกป้องลูก"
ดิฉันอยากให้ลูกได้รับรู้ว่า "ผู้ชายจริง ๆ เค้าเป็นยังไง"
แต่มันคงสายไปแล้วสำหรับครอบครัวของดิฉัน ซึ่งมีสามีก็เหมือนไม่มี ดิฉันต้องสอนให้ลูกช่วยตัวเองตั้งแต่ลูกเพิ่ง 4 ขวบ หัดทำมาม่าคัพทานเองได้ หันป้อนข้าว และอาบน้ำเองได้ โดยที่คุณยายคอยดูอยู่ห่าง ๆ ดิฉันมีความจำเป็นต้องสอนลูกให้เค้าเข้มแข็ง เพื่ออนาคตของเค้าเอง ดิฉันคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวเพื่ือตัวลูก ในวันนี้สิ่งใดที่ดิฉันทำให้ลูกได้ ดิฉันก็จะทำ เพื่อที่ดิฉันจะได้รู้สึกว่า ดิฉันทำดีแล้ว เพื่อคนที่เรารัก และห่วงใยที่สุดในโลกใบนี้
ในเมื่อเค้ามีพ่อ ก็เหมือนไม่มี ดิฉันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนให้ลูกรู้จักปกป้องตัวเอง และโตขึ้นมาเพื่อปกป้องแม่ รวมไปถึงขอให้เค้าเป็นคนดีของสังคม คงไม่ใช่คำขอที่มากเกินไปใช่ไม๊

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

คำกล่าวโบราณ


"สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ"
นี่เป็นคำพูดที่ดิฉันเพิ่งเคยได้ยินมา หลังจากที่มีชีวิตเกิดอยู่บนแผ่นดินไทยมาเกือบ 30 ปี
คำพูดนี้เป็นคำพูดที่คนเฒ่าคนแก่ มักใช้สอนลูกหลาน ให้ประพฤติ ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ดีงาม
ซึ่งจะเป็นคำสอนสำหรับลูกสาว หลานสาว

ดิฉันเพิ่งซึ้งกับคำ ๆ นี้ก็เมื่อไม่นานมานี้เอง
ในความคิดของดิฉัน ความหมายของคำ ๆ นี้เป็นอย่างนี้นะ (แต่ไม่รู้เมหือนกันว่าคนอื่นว่ายังไงกันบ้าง)
"ตัวเราเป็นผู้กำหนด ในทุก ๆ สิ่งที่จะทำให้คนรอบข้างมองมาที่เรา ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความประพฤติของตัวเราเอง
ไม่มีใครสามารถตีคุณค่าในตัวของเรา ให้มีค่าแค่ไหนได้หรอก ยกเว้นเราทำตัวให้คนอื่นเค้าตีค่าเราได้
คนทุกคนเกิดมาล้่วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าคุณค่าเหล่านั้นจะมากหรือน้อยก็ตาม
มันขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเองทั้งสิ้น"

ขนาดดิฉันคิดว่าตัวเองก็เจนจบมาหลายเรื่อง กระบวนความแล้วเช่นกัน แต่พอมารู้ซึ้งในคำ ๆ นี้จริง ๆ ก็ทำให้อึ้งได้เหมือนกัน
ถ้าอยากมีคุณค่า แล้วเราจะทำตัวให้ด้อยค่าไปทำไม
สมัยนี้ไม่จำเป็นที่ผู้หญิงจะต้องไปนั่งง้อให้ผู้ชายมาเป็นช้างเท้าหน้าอีกต่อไปแล้ว

คุณค่าของผู้หญิงในสมัยนี้ เราต้องยอมรับในระดับหนึ่งว่า ค่อนข้างจะพัฒนาไปได้ไกลมาก ๆ แล้ว ไกลกว่าสมัยโบราณเยอะ แต่คำสอนในสมัยก่อน ก็สามารถให้ข้อคิดและทำให้ลูกหลาน "หยุด ชะงัด" ได้สักนิดเหมือนกัน

หยุด เพื่อที่จะคิด
ดิฉันก็เป็นเช่นกัน หยุดสักนิด เพื่อที่จะได้ใช้เวลาที่หยุดนั้น คิดให้ดีถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ว่ามันเหมาะสม มีคุณค่าต่อตัวเราเองหรือไม่ หรือทำไปแล้วจะมีแต่คนดูถูก

ดิฉันต้องขอบคุณคำสอบโบราณที่ทำให้ได้คิดแม้สักนิด
ก็ยังดีกว่าไม่ได้คิดอะไรเลย
ดีกว่าไม่มีอะไรมาทำให้เอะใจ หรือชะงัก
ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปกับกิเลส ตัณหา และราคะ
ซึ่งตัวดิฉันก็ยังเป็นอยู่
ขนาดอ่านหนังสือธรรมะ ยังดีแตกได้เหมือนกันนะ
เฮ้อ
คำกล่าวเหล่านี้จะยังคงมีเหลือไว้ให้ลูกหลานได้จดจำอีกนานไม๊
เป็นคำถามที่เพิ่งคิดได้เมื่อกี้นี้เอง
จริง ๆ รุ่นดิฉันนี่ก็ไม่ใช่รุ่นใหม่แล้วนะ
แต่คำพูดนี้ ดิฉันเพิ่งจะได้ยินมา
ส่วนคำพูดอื่น ๆ วันหลังจะยกมาฝากละกันนะ

หยุดเพื่อคิด
เปลี่ยนความคิดให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
ดีกว่าปล่อยให้ความคิดเหล่านั้นทำร้ายตัวเราเอง
จริงไม๊

ตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดคุณค่าให้ตนเอง

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

เวรกรรม



เราเป็นคนที่สวดมนต์ ทำทาน และนั่งสมาธิบ้างเมื่อมีโอกาส สำหรับตัวเราเองแล้ว เราไม่เคยคิดหรอกนะว่าการนอกใจจะเป็นสิ่งที่เราจะทำได้ เมื่อก่อนเรามั่นใจมาก ๆ ว่า เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เราจะสามารถนอกใจสามีได้
แต่แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราทำผิด ซึ่งไม่ใช่ความผิดครั้งแรกของเรา ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรานอกใจเค้า เพียงแต่เราแค่แอบมีใจให้คนอื่น ซึ่งไม่ได้มีการล่วงเกินใด ๆ กันทางด้านร่างกาย
เราแค่อยากรู้ว่าเราจะสามารถทำได้ไม๊
คำตอบ :
เราทำได้นะ แต่เราไม่สบายใจ เหมือนเราทำผิด ผิดต่อบาป ความผิดนี้จะไม่มีใครรู้หรอก แต่ความลับไม่มีในโลก เราย่อมรู้แก่ตัวเราเอง ซึ่งพอมาคิดดูอีกที ที่สามีของเรานอกใจเราทุกวันนี้ อาจจะเกิดจากกฎแห่งกรรมที่เราเคยทำไว้กับคนที่เค้ารักเรามาก ๆ แต่เรากลับนอกใจเค้าได้ แค่อารมณ์ชั่ววูบ
ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมดเลย จากหน้ามือเป็นหลังมือ ชีวิตของเราเปลี่ยน เปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าของอดีตอีกต่อไป นี่เราผิดบาปศีลแค่ข้อเดียวนะ คือศีลข้อ 3 แต่ศีลข้อนี้สามารถทำให้เวรกรรมตามเรามาจนถึงทุกวันนี้ แม้เวลาจะแปรเปลี่ยนไปนานแล้วหลาย 10 ปีก็ตามที แต่เวรกรรมนี้ไม่มีวันหมดจริง ๆ
แต่การที่เราทำผิดในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ แต่มันเกิดจากการต้องการใครสักคนที่สามารถปกป้องและดูแลเราได้จริง ๆ มีความเป็นผู้นำ เป็นผู้ใหญ่ เราก็เลยลองคิดนอกใจสามีดูบ้าง ถามว่ามีความสุขไม๊ มีนะ แต่มันเหมือนโลกของความฝัน ซึ่งจะไม่มีวันเป็นจริงได้ เราไม่สามารถทำได้ เราไม่สามารถนอกใจสามีจริง ๆ และทำร้ายลูกชายสุดที่รักของเราได้
เราขอให้เวรกรรมใด ๆ ก็ตามที่เราเคยทำไว้กับคนที่เค้ารักเรามาก ๆ มันจบลงได้สักที เพราะทุกวันนี้เราก็ได้ประสบกับความทุกข์กาย และทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสแล้ว จากการที่สามีนอกใจ ไปมีใจให้กับผู้หญิงอื่น เราอยากขออโหสิกรรมต่อทุก ๆ คนที่เราได้ล่วงเกินทำร้ายคนเหล่านั้นด้วยการผิดศ๊ลข้อ 3
เราอยากให้เวรกรรมเหล่านี้จบลง เราอยากมีอิสระอีกครั้ง เราอยากเห็นท้องฟ้ากว้าง ๆ อีกครั้ง เราอยากเห็นความสดใสในชีวิตอีกครั้ง แต่มันจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ในเมื่อหลาย ๆ คนที่เค้ารักเรา เค้าไม่สามารถให้อภัยในความผิดที่เราเคยทำไว้ในอดีตได้
เราได้แต่เพียงขอให้คำภาวนาของเราส่งไปถึงเค้า บอกให้เค้ารู้ว่าในวันนี้้ "เรารู้ว่าแล้วว่าเค้าเจ็บปวดและทรมานมากเพียงใดกับสิ่งที่เราได้ทำกับเค้าไว้ และเราขอโทษ ขอโทษจากใจจริง ๆ "