วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คำอธิษฐานปล่อยสัตว์

นะโม 3 จบ
ข้าพเจ้าชื่อ...........................นามสกุล..............................................
เกิดวัน...............ที่.......... เดือน ....................... พ.ศ............. ตรงกับปีนักษัตร ...................
ปัจจุบันอายุ ...............ปี ได้ปล่อย ..........ชนิดสัตว์...........จำนวน ............ ตัว
ปล่อยเพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเองเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ศัตรู
และ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ตัวที่เป็นที่พึ่งขอให้นำความสุขและโชคลาภมาให้ ข้าพเจ้า
ตัวที่ให้กับศัตรูและเจ้ากรรมนายเวร จงนำเอา สรรพทุกข์ สรรพโศก
สรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์ เสนียดจัญไร ออกไปจาก ข้าพเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ขอให้พระแม่ธรณี, พระแม่คงคา, พ่อพระเพลิง, พ่อพระพาย, แม่พระโพสพ,
ทวยเทพเทวาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตย์อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้, เจ้าที่เจ้าทาง,
เทวดาที่รักษาตัวข้าพเจ้า, หลวงปู่โต, พญานาคราช และท่านท้าวพระยายมราช
จงเป็นสักขีพยานรับทราบกุศลเจตนาของข้าพเจ้า และคุ้มครอง ชีวิตสัตว์ให้ปลอดภัยจนสิ้นอายุขัย
ด้วยอำนาจของกุศลผลบุญนี้ จงสะเดาห์ เคราะห์ร้ายของข้าพเจ้าให้กลับกลายเป็นดี
มีความร่มเย็นเป็นสุข ประสพความสำเร็จสมหวังในสิ่งที่พึงปรารถนา
มีความเจริญก้าวหน้า มีชีวิตสดชื่น สุข สดใส ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไปด้วยเทอญ

โดยปกติแล้วดิฉันจะปล่อยสัตว์น้ำทุกเดือนนะคะ เดือนละ 1 ครั้งค่ะ
ปล่อยปลาไหล 2 ตัว, ปล่อยปลาดุก 2 ตัว
ดิฉันไม่ค่อยทำทีละหลาย ๆ ตัว (มันแพงเหมือนกันนะคะ)
คือทำตามกำลังมากกว่าค่ะ
และนิยมทำให้สม่ำเสมอนะคะ
เพราะการปล่อยสัตว์เป็นการสะเดาะเคราะห์แก้ดวงตกได้ด้วยค่ะ
ทำตั้งแต่ตอนที่เรายังดวงไม่ตก พอถึงเวลาดวงตกจริง ๆ ก็จะได้ไม่ตกไงล่ะคะ
ไม่ต้องกลัวนะคะว่าถ้าปล่อยปลาอะไรแล้วไม่ต้องรับประทานปลาชนิดนั้น
เพราะดิฉันเองก็รับประทานเหมือนกัน แต่พอหลัง ๆ ก็ไม่อยากรับประทานแล้วค่ะ
มันต่างกรรมต่างวาระกันนะคะ
อย่าคิดมากนะ เวลาทำบุญ
นี่เป็นเคล็ดค่ะ "เคล็ดประจำตัวเลยค่ะ"

ความทุกข์

ทุกคนเกิดมาล้วนมีปัญหา
ทุกคนเกิดมาล้วนมีความทุกข์
ทุกคนเกิดมาล้วนมีอุปสรรค
ทุกข้อที่ดิฉันกล้วมานั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนทุกคนจริง ๆ
ตั้งแต่เป็นทารก, วัยรุ่น, วัยทำงาน, จนถึงวัยเกษียณอายุราชการ
ล้วนมีความทุกข์ทั้งสิ้น เพียงแต่ความทุกข์ในแต่ละวัยนั้น
ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับภาวะในขณะนั้น

แต่ทุกความทุกข์ทั้งหลายบนโลกใบนี้
มีทางออกรอให้คุณหาเจอเสมอ
เพียงแต่คุณจะยอมออกมาจากความทุกข์เหล่านั้นหรือไม่
คุณพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงหรือไม่
คุณมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่
คุณพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้จริงหรือไม่

นี่คือคำถาม สำหรับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์
บางทีปัญหาที่คุณคิดว่าหนักหนาสาหัสแล้วสำหรับคุณ
มันอาจะไม่ใช่ความทุกข์ที่แสนสาหัสจริง ๆ ก็ได้
เมื่อถึงเวลาเราก็สามารถผ่านพ้นมาได้เสมอ
เพียงแต่เราแค่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันแค่นั้นเอง
เรากลัวกับความทุกข์ทั้ง ๆ ที่บางครั้งเรายังไม่ได้เจอกับมันเลยด้วยซ้ำ
เรากลัวมัน เพราะเราคิดถึงความทุกข์ตลอดเวลา
ความทุกข์อยู่กับเราตลอดเวลา
นั่นคือ "สิ่งที่เราคิดยังไงล่ะ"

เราทุกคน "คิด" ตั้งแต่ที่มันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ที่มันยังไม่มีมูลเหตุอะไรเลย
เราคิดตั้งแต่เริ่มรู้สึกไม่วางใจ, ระแวงต่อสิ่งรอบข้าง
เราคิดแล้ว "คิดที่จะกลัว" , จิตนาการไปเรื่อย ๆ
เป็นการสร้างอุปาทานในแง่ลบให้กับตนเอง
สร้างไปเรื่อย ๆ แล้วทีนี้แหล่ะ ความกลัวเหล่านั้นจะเป็นจริงขึ้นมาแหล่ะค่ะ

อย่ากลัวที่จะทุกข์นะ
อยากให้ทุกคนกล้าเผชิญหน้ากับมัน
และอยากให้ทุกคน "หยุดคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสักทีนะคะ"


ไม่มีใครทำร้ายคุณหรอก ถ้าคุณไม่ทำร้ายตัวเอง

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ดวงตก

"ดวงตก" คิดว่า คำ ๆ นี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตแน่นอน
เพราะผลของคำ ๆ นี้ค่อนข้างน่ากลัวเหลือเกิน
สำหรับทุก ๆ คน
เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และแน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นเราคาดไม่ถึงทั้งสิ้น
แต่คุณเชื่อไม๊?
คุณสามารถแก้ไขดวงชะตาได้ด้วยตนเอง
ตราบใดที่คุณยึดมั่นอยู่บนความดีงาม
ถึงแม้บนความดีงามจะมีความลำบาก, ความทุกข์, ความเหนื่อยยาก, ความทรมาน
แต่ถ้าคุณยังตั้งมั่นและยึดมั่นบนความดี
คุณทุกคนสามารถก้าวผ่าน คำ ๆ นี้ คำว่า "ดวงตก" ได้อย่างไม่คาดคิด
ชีวิตของคุณจะไม่ต้องกลัวกับคำว่า "ปีชง" หรือ "ดวงตก" หรือ "สะเดาะเคราะห์" อีกแล้ว

แต่กว่าจะถึงวันที่คุณสามารถยืนอยู่บนความดีงามได้
คุณจะเหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัส
คุณจะต้องประสบพบเจอกับปัญหานานัประการ
คุณจะต้องพบเจอกับอุปสรรคที่หลากหลาย
และความเหน็ดเหนื่อย, ความพยายาม, ความตั้งมั่นที่คุณมี
ที่คุณพร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหา
นั่นแหล่ะคือ สิ่งที่จะทำให้คุณผ่านพ้นอีกหลายปัญหาที่คุณจะต้องประสบพบเจอ
แต่ไม่ว่าปัญหาจะหนักกว่านี้อีกแค่ไหน

ตราบใดถ้าคุณเป็นคนดี
และตราบใดถ้าคุณยึดมั่นอยู่บนความดีงาม
ตราบนั้นคุณจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง
คุณจะสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวคุณเอง


เมื่อวันหนึ่ง ความดีของคุณถึงที่สุดแล้ว
คุณจะรู้ว่า "รอบ ๆ ตัวของคุณยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า"
"แต่คุณสามารถสัมผัสได้ว่าคุณ ไม่ได้อยู่คนเดียว"
"ยังมีอีกหลาย ๆ สัมผัสที่จะบอกคุณว่า อย่าท้อกับปัญหาแค่นี้ เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องเจอกับความทุกข์เพียงแต่คุณเจอกับความทุกข์แบบไหนแค่นั้นเอง"
"แต่ไม่ต้องคิดหรอกนะว่า คนอื่น ๆ เค้าจะสุขสบายกว่าเรา"
"ไม่มีใครบนโลกนี้มีความสุข และสมหวังทุกอย่างที่ต้องการหรอก"
"ทุกคนบนโลกใบนี้ มีความทุกข์ทั้งสิ้น แต่มันอยู่ที่ว่าเราสามารถเห็นความทุกข์นั้นหรือไม่"

ทุกครั้งที่เราเจอกับปัญหา
ทุกครั้งที่เรามีอุปสรรค
และถ้าทุกครั้งคุณสามารถผ่านพ้นไปได้
ดิฉันดีใจด้วยนะ
เพราะนั่นแปลว่า "คุณแข็งแกร่งมากขึ้น"
คุณจะเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อสามารถแก้ปัญหาชีวิตไปได้ 1 เรื่อง
และอีกกี่เรื่องที่คุณจะต้องเจอ
และมันจะทำให้คุณเข้มแข็ง และแข็งแกร่งมากขึ้นแค่ไหน
ลองคิดดูสิ

ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้ดิฉันเติบโต และแข็งแกร่ง
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้ดิฉันยึดมั่นอยู่บนความดีงาม
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้ดิฉันเห็นทางออกสู่ความเป็นนิรันดร์
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้ดิฉันกล้าเผชิญหน้ากับความจริง

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ทุกข์ เพราะ ความรัก

ทุกคนที่มีความรัก
รู้สึกหรือไม่
ทำไมทุกครั้งที่มีความรัก
เราจึงเป็นทุกข์


เพราะ
ความรัก เป็นห่วงแห่งอารมณ์ที่ยากแก่การแก้ไขมาก

หลายคนรู้ว่า มีความรักแล้วเป็นทุกข์
แต่ก็อยากจะมี
เพราะอะไร?


เพราะความรัก ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางให้เราชดใช้เวรกรรม
ซึ่งเป็นกรรมเก่าในอดีตชาติ หรือในชาตินี้
หากเราเคยทำให้คนที่รักเราเสียใจ
ไม่ว่าจะเป็นพ่อ, แม่, ญาติผู้ใหญ่, หรือแม้แต่พี่น้อง
ซึ่งนี่คือความรักที่บริสุทธิ์
แต่เรากลับปฏิเสธความรักแบบนี้แทบจะทันทีที่เราได้พบเจอ

มันเป็นเหมือนทางเดินที่เป็นมาตรฐานสำหรับทุก ๆ คน
ที่จะปฏิเสธ ความรักที่บริสุทธิ์
และมุ่งหน้าที่จะเดินไปหา ความรักที่เป็นทุกข์


เราเคยมองไม๊
ว่าผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกับเค้ามานานสักเท่าไหร่
แต่ทำไม เค้า สามารถทำร้ายเราได้มากมายเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ทั้ง ๆ ที่เค้าไม่ได้เกิดมาพร้อมเรา
ขนาดคนที่เค้าเกิดมาพร้อมเรา
เรายังไม่รักมากมายขนาดนี้
แต่ทำไมเราถึงรักเค้ามาก

เพราะ
นี่คืออีกหนึ่งบททดสอบของเวรกรรม
อีกหนึ่งหนทางที่จะทำให้เรามีความทุกข์
และเป็นหนทางที่ทุก ๆ คนเจอมาแล้วทั้งนั้น

ถือซะว่า
นี่เป็นการชดใช้ความเจ็บปวด
ที่เราเคยทำให้กับคนหลาย ๆ คนตั้งแต่ที่เราเกิดมา
และที่เราเคยเฉยเมย เย็นชา
ต่อความรู้สึกที่เค้ามีให้มาเสมอ

นี่คือ
การชดใช้เวรกรรม
ในรูปแบบหนึ่ง
ผู้ที่มีรัก ผู้นั้นมีความทุกข์
แต่ผู้ที่ไม่มีรัก ก็ย่อมแสวงหาในรักเสมอ

กรรม! เข้าใจง่ายกว่าที่คิด

สิ่งที่ชาวพุทธควรเชื่อ 4 ประการ
ความเชื่อในหลักกรรมนี้ ตามคำสอนของพระพุทธศานา ชาวพุทธต้องเชื่อ 4 อย่าง ต้องเชื่อหลัก 4 ประการ คือ
1. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จริง เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณจริง ๆ
2. กัมมสัทธา เชื่อในเรื่องกรรม คือ เชื่อว่ากรรมมีจริง หลักกรรมที่เราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วมีจริง
3. วิปากสัทธา เชื่อในผลของกรรม คือ เชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ยอมให้ผลเสมอ จึงจะเปลี่ยนกิจกรรมความเปลี่ยนแปลงของชีวิตไปในทางที่เชื่อถือ และถูกต้องได้
4. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน หรือเชื่อว่าผลที่เราได้รับเป็นผลแห่งการกระทำของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติ หรืออดีตชาติ หรือจะทำในภพใด
จะเห็นได้ว่าในความเชื่อศรัทธา 4 อย่าง เป็นความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับหลักกรรมถึง 3 อย่าง

การเชื่อเรื่องกรรม
ไม่ใช่เรื่องที่งมงาย หรือน่าเบื่อ
แต่เป็นเพียงการเข้าใจถึงสิ่งที่เรากำลังประสบพบเจออยู่ในวันนี้
ถ้าเราลองเปิดใจที่จะเชื่อ
และลองมองกลับไปสู่อดีต
จากวันนี้ลองมองกลับไปดี ๆ ช้า ๆ
เราจะได้รู้ว่า
สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ในวันนี้
นั่นคือ สิ่งที่เราเคยทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์มาก่อนนั่นเอง

ไม่จำเป็นต้องมีญาณทิพย์ หรือสัมผัสวิเศษ
แต่มนุษย์ทุกคนสามารถมองเห็นกรรมของตนเองได้
ด้วยตนเอง
เพียงแค่เราเปิดใจให้กว้างมากขึ้น
ปล่อยวางให้มากขึ้น
และทำให้จิตใจสงบเพียงพอ

การสวดมนต์แก้กรรม

การสวดมนต์นั้นมีอานุภาพ
ปาฏิหาริย์บันดาลผลในสิ่งที่ต้องการได้จริง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าจะสำเร็จได้ทุกคนไป
ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละท่านด้วย


การสวดมนต์ จะช่วยแก้ไขกรรมได้หรือไม่
ขึ้นอยู่กับ "บุญบารมี"
เพราะบางทีก็ได้ผล บางทีก็ไม่ได้ผล
ขึ้นอยู่กับเหตุผล 3 ประการ คือ

1. ถูกแรงกรรมปิดกั้น คือ ถูกกรรมเก่าขัดขวาง

2. ถูกกิเลสปิดกั้น คือ ขณะสวดมจิตของผู้สวดมีกิเลสเข้ามาปะปน ทำให้จิตไม่สงบหรือผู้สวด สวดด้วยอำนาจของความโลภ โกรธ หลง เช่น สวดมนต์เพื่ออยากให้ตนรวย ๆ อยาให้ถูกหวย หรือสวดมนต์เพื่อให้สามีรัก สามีหลง เป็นต้น

3. มีจิตไม่เชื่อในการสวดมนต์ คือ ไม่เชื่อในอานุภาพของบทสวดมนต์ ทำด้วยความไม่เชื่อมั่นว่าจะเป็นไปได้

ขอบคุณคำสอนของ พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)
เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี


**ดังนั้นตามความคิดของข้าพเจ้า หากท่านต้องการเห็นผลของการสวดมนต์
เราควรคิดแค่ว่า
"เราสวดมนต์เพื่อต้องการให้มีสติ และมีสมาธิ ไม่ได้ต้องการความร่ำรวย หรือความสุขใด ๆ ทั้งสิ้น และควรเชื่อมั่นในทุก ๆ บทสวดมนต์ที่เราสวด ที่เราเอ่ยออกจากปากของเรา ทุกครั้งที่เอ่ยออกมา เราต้องรู้ตัวว่าเราพูดคำว่าอะไร และจิตต้องอยู่ด้วยเสมอ"**

นี่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทราบ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เพียรสวดมนต์เพื่อความร่ำรวยมานานปี แต่ไม่เป็นผล
และผลที่ได้ ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มปลง และรู้สึกพอกับสิ่งที่มีในทุกวันนี้ อย่างมีความสุข

ความร่ำรวยอาจะไม่ใช่คำตอบของทุกชีวิต
แต่ถ้าวันนี้
เรารู้จัก "พอ"
วันนี้ เรารวย

ความทุกข์

ขอบคุณความทุกข์
ที่ทำให้เราค้นหาความสุข
และการดิ้นรนให้พ้นจากความทุกข์

เราพบปัญหากันทุกคน
คงไม่มีใครบอกกล้าบอกหรอกนะว่า "ไม่เคยมีความทุกข์"
เพราะทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมความทุกข์

เพราะอะไร?
เพราะเราทุกคนเกิดมาพร้อมกรรม

และ
กรรม คือ การกระทำ
ทั้งการทำความดี และการทำความชั่ว

เมื่อเราทำกรรมชั่วไปเรื่อย ๆ โดยไม่คิดจะสั่งสมกรรมดี
โดยคิดว่า ยังไงทุกวันนี้เราก็มีความสุข สนุก สบาย
และเมื่อถึงวันที่บุญเก่าเราหมด
วันนั้น คือ วันที่ความทุกข์จะมาเยือนเราอย่างจริง ๆ จัง ๆ
และเหมือนกับว่า
"ในโลกใบนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเราได้เลย"
เพราะอะไร
"เพราะคุณไม่มีบุญพอที่จะมองเห็นว่าใครสามารถช่วยเหลือคุณได้"
"หรือแม้แต่คิดจะทำบุญ คุณยังทำไม่ได้เลย"
"คุณคิดว่านั่น คือ สิ่งที่ไร้สาระ"
"อย่าไปคิดจนถึงขั้นสวดมนต์นะ"
"เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ไม่สามารถหาทางออกให้กับชีวิตของตนเองได้นั้น จะไม่ค่อยได้สวดมนต์"


การทำความดี (การสะสมกรรมดี)
ไม่ยากอย่างที่คิด
แค่แบ่งอาหารของเรา ให้สัตว์จรจัด หรือให้ร่มเงามันบ้าง แสดงความห่วงใยในบางครั้ง
หรือ
การให้น้ำคนขอทาน, การช่วยคนแก่ข้ามถนน, หรือหาข้าวให้พ่อกับแม่เราทาน,
แค่ความรู้สึกดี ๆ ที่เรามีให้คนรอบข้าง
นั่นแหล่ะ "ความดี"

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

แก้ไขปัญหาชีวิต

รับปรึกษาและแก้ไขปัญหาชีวิตด้วยหลักพยากรณ์ทุก ๆ รูปแบบ
ตั้งแต่เลข 7 ตัว, กราฟชีวิต, ไพ่ป๊อก, รวมไปจนถึงไพ่พรหมญาณ
และการใช้สัมผัสที่หก
ในการแก้ไขปัญหาชีวิตของผู้ที่กำลังประสบวิบากกรรมอยู่ในขณะนี้
ขอแก้ไขโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
ในทุกคำปรึกษานะคะ
ฝากคำถาม และปัญหาต่าง ๆ ได้ที่
http://silverclound.blogspot.com
นะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

คำคม1

โชคชะตาไม่เคยทำร้ายเรา
โชคชะตาสอนให้เรารู้ถึงสัจธรรมของชีวิต
โชคชะตาทำให้เราต้องเจอกับปัญหา

และปัญหาไม่เคยทำให้ใครต้องตาย
ถ้าเรามีสติเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหานั้น ๆ

คำคม

ทุกปัญหามีทางออกเสมอ
เพียงแต่ในเวลาที่เรามีปัญหา
เราแค่มองไม่เห็นทางออกเท่านั้น
แต่ถ้าเรามองปัญหาด้วยปัญญาเมื่อไหร่
คุณจะพบกับทางออกเสมอ

คู่ชีวิต



หลายคนอยากมีชีวิตคู่
และอีกหลายคนอยากเลิกกับคู่ชีวิต


เรามีคู่ชีวิตไว้เพื่ออะไร
เพื่อให้เค้าเป็นที่พึ่งสำหรับเรา
เพื่อให้เค้าเป็นกำลังใจให้เรา
เพื่อให้เค้าคอยอยู่เคียงข้างเวลาที่เราไม่สบาย


หมดสมัยแล้วที่อยากจะมีคู่ชีวิต
เพื่อเป็นการยกระดับฐานะทางการเงิน
ในวันนี้ไม่มีใครขอให้ได้คู่ชีวิตที่ร่ำรวยกันแล้ว
เพราะผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้ขอแบบนี้เหมือนกันหมด
แต่ Jackpot จะไปตกที่ใคร

การมองหาคู่ชีวิตในวันนี้
คงต้องเป็นการมองบนหลักความเป็นจริง
ถึงแม้บางครั้งเราก็อยากจะฝัน
อยากจะหวังเหมือนกัน แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้
แล้วเราจะฝัน หรือหวังไปเพื่ออะไร

ถึงแม้จะมีคู่ชีวิตแต่เหมือนไม่มี
เพราะเค้าไม่สามารถมาช่วยแบ่งเบาภาระอะไรได้เลย
เพราะเค้าไม่สามารถอยู่เคียงข้างในทุกครั้งที่เราป่วย, เราเหนื่อย, เราหมดแรง
หรือแค่ไปเฝ้าลูกเค้าก็ทำไม่ได้


เราจะหวังอะไรจากคู่ชีวิตแบบนี้ิได้
หรือเราควรจะหวังว่าเราจะฝากชีวิตไว้เพื่อตัวเราเองมากกว่า
เพราะถึงอย่้างไรในระยะเวลาทั้งหมดที่อยู่ด้วยกันมา
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นเลย
มีแต่แย่ลง
แล้วเราจะมีคู่ชีวิตไปเพื่ออะไร

ความสุขสมหวังในวันนี้
เราควรเป็นคนสร้างมันขึ้นมา
ด้วยตัวเราเอง
แล้วความภาคภูมิใจมันจะอยู่กับเราตลอดไป

มันเป็นหลักฐานที่แสดงให้เราได้เห็นว่า
ไม่ต้องมีคู่ชีวิตเราก็ทำได้
เพราะถึงมีก็รังแต่จะทำให้เรามีภาระเพิ่มมากขึ้น

ความสำเร็จอยู่ในมือของเราเสมอ
หากเรามุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำ
ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราเอง
และเพื่อคนที่เรารักทั้งนั้น


เราคงไม่สามารถฝาก
ความหวังและความฝันไว้กับใครได้
นอกจากสองมือของเราเท่านั้น

ความฝันจะเป็นจริงเสมอ
ถ้าวันนี้เราลงมือทำ

หมดเวลา


หลังจากที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานหลายปี
อยากถามหลาย ๆ คนว่า
"หากวันหนึ่งคุณหมดความรักที่มีให้กันแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมเลิกกันไป"
"คุณจะทำให้ทุก ๆ วันในชีวิตคู่ และคนรอบข้างเดือดร้อน และอึดอัดไปเพื่ออะไร"


เมื่อวันหนึ่งการอยู่ด้วยกันเริ่มมีปัญหามากขึ้น
และคนสองคนไม่สามารถยอมให้กันและกันได้อีกต่อไป
"การให้อภัยจึงไม่มี"
ที่เหลือคือ "ความรุนแรง"

ซึ่งมันคงจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

และถ้าเราไม่สามารถเดินออกไปจากชีวิตของคน ๆ นี้ได้
และเราหมดแล้วซึ่งความอดทนที่มีต่อกัน
และถ้าเราขอให้เค้าเดินออกไปจากชีวิตของเราแล้ว
แต่เค้าไม่ไป
เราควรทำอย่างไร?

ทำไมเหรอ?
แค่ขอให้เค้าปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ไม่ได้เลยหรืออย่างไร?
ทำไมต้องมีอคติเสมอ?
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของเราเอง หรือแม้แต่พี่น้อง
เราก็ไม่สามารถไปหาได้อย่างมีความสุข
เพราะต้องคอยระวัง ไม่ฉะนั้นกลับมาที่บ้านก็ต้องทะเลาะกับสามีอีกเหมือนเดิม
ทำไมอ่ะ?

ไม่เข้าใจจริง ๆ นะ
เพราะถ้าไม่สามารถยอมรับเราในแบบที่เราเป็น
ทำไมเค้าไม่เดินออกไปจากชีวิตของเราล่ะ
จะทนทรมานทั้งสองฝ่ายไปเพื่ออะไร
ทำให้คนรอบข้างเราเป็นทุกข์ไปด้วย
เค้าจะทำไปเพื่ออะไร?

แบบนี้ใช่ไม๊ที่เค้าเรียกว่า "เห็นแก่ตัว"

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

เงินตรา



ปัญหาสำหรับทุก ๆ คน
เราเชื่อว่า
แต่ละคนมีปัญหาแตกต่างกัน
แต่คงไม่มีใคร "ไม่มีปัญหา"
เพียงแต่เราต้องมองให้เห็นปัญหาจริง ๆ
ซึ่งการมองให้เห็นปัญหานี้
แม้แต่เราเอง
ซึ่งพยายามทำใจให้เย็น ๆ และมองนิ่ง ๆ นาน ๆ
เรายังไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เลย

เราจะสามารถหยุดดิ้นรนได้อย่างไร
ในเมื่อวันนี้
ทุกคน ทุกชีวิตบนโลกใบนี้
ล้วนมีสิ่งเดียวที่ต้องการเหมือนกัน คือ "เงินตรา"

เงินไม่ใช่พระเจ้า
เงินไม่สามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้
แต่เงินสามารถอำนวยความสะดวกให้เราไปถึงที่หมายได้ง่ายมากขึ้น

เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรามีเงินเพียงพอแล้ว
เพียงพอต่อความต้องการขั้นพื้นฐาน
แล้ววันนั้นเราสามารถหยุดได้หรือไม่

คนที่ยังไม่มีก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป
แล้วคนที่มีเพียงพอแล้วล่ะ
คุณสามารถปลดปล่อยตนเองจากสิ่งที่พันธนาการคุณไว้ได้หรือไม่
คำถามง่าย ๆ
ที่บางคนไม่สามารถหาคำตอบได้
และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

รินหัวใจใส่งาน


ท่าน ว.วชิรเมธีได้เดินทางไปเมืองจีน ไปเห็นกำแพงเมืองที่มีอายุยืนยาวถึงสองสามพันปี
ท่านได้ถามมัคคุเทศก์ว่า "ทำไมมันทนจัง"
มัคคุเทศก์บอกว่า "จิ๋นซีฮ่องเต้ โปรดให้ปั้นอิฐแต่ละก้อนด้วยวิธีพิเศษ แล้วทุกคนที่ปั้นอิฐจะต้องจารึกชื่อตัวเองไว้ที่ก้อนอิฐ เมื่อเผาเสร็จแล้วจึงเอาไปก่อกำแพง ฝนตกแดดส่อง ถ้าอิฐของใครสึกหรอก เอาคนปั้นที่มีชื่อเขียนติดไว้ไปตัดหัว แล้วเอาศพฝังใต้ซากกำแพงเมือง"

ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงตั้งใจบรรจงปั้นอิฐอย่างสุดความสามารถ เพราะกลัวตายจึงตั้งใจปั้นจริง ๆ อิฐทุกก้อนจึงอยู่คงทนยาวนานมาถึงทุกวันนี้ ถ้าเราทำได้เหมือนคนปั้นอิฐของจิ๋นซีฮ่องเต้ งานของเราจะเป็นงานที่ดีที่สุด

ลูกค้าที่มาเจอหน่วยงานเราจะประทับใจกลับไป อย่าทำงานเหมือนลวกก๋วยเตี๋ยว ลวก ๆ สุกบ้างไม่สุกบ้าง
ทำงานต้องทำให้ดี ต้องประณีต
ประณีตหมายถึงรินใจใส่งาน
ถ้ารินใจใส่งานจะได้งานชิ้นเอกทุกเรื่องทุกครั้งไป

งานที่สำคัญที่สุด คือ งานที่เราทำอยู่ตอนนี้ ทำให้ดีที่สุด
ถ้าเราทำให้ดีที่สุด ตอนนี้
มันจะกลายเป็นพรุ่งนี้ที่ดีที่สุด
เมื่อมันเป็นวันวายมันก็เป็นวันวายที่ดีที่สุด
แล้วเราจะมีความสุขกับมัน ถ้าเราทำอย่างดีที่สุด


ที่มา ::
งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์
ท่าน ว.วชิรเมธี

งานที่สำคัญที่สุด


งานที่สำคัญที่สุด คือ งานที่เราทำอยู่ในขณะนี้

เราทำงานอะไร จงใส่จิตใส่ใจกับมันให้เต็มร้อย
อย่าสักแต่ว่าทำ
เพราะว่าถ้าสักแต่ว่าทำงานก็ไม่ดีความสามารถเราก็ไม่พัฒนา
ทำอะไรก็พยายามทำให้ดีที่สุด
พระพุทธเจ้าเวลาทำงาน
ทรงรับสั่งว่า "ฉันทำงานเหมือนราชสีห์"
ราชสีห์เวลาจับหนู โดดตะครุบด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดด้วยศักยภาพทั้งหมด

เราทุกคนก็เช่นกัน
เวลาทำงาน งานของเราต้องสำคัญที่สุด
ไม่ทำสักแต่ว่าทำ แต่จะต้องทำให้ดีที่สุด
เพราะถ้าเราทำให้ดีที่สุด
ผลงานของมันจะประกาศศักยภาพของเราไปตลอดชีวิต


ที่มา ::
งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์
ท่าน ว.วชิรเมธี

คนที่สำคัญที่สุด



คนที่สำคัญที่สุด คือ "คนที่อยู่ตรงหน้า"

ทำไมคนที่อยู่ข้างหน้าเราจึงสำคัญ ก็เพราะว่ามนุษย์พบเจอกันไม่บ่อยนัก
ในชีวิตนี้มนุษย์ที่มาปฏิสัมพันธ์กันเหมือนไม้สองท่อน
ที่ลอยมาคนละทิศคนละทางมาเจอกันกลางทะเล
ทะเลกว้างแสนกว้างแต่ไม้สองท่อนยังคงไหลมาเจอกันได้
เมื่อไหลมาเจอกันโครม
แล้วในที่สุดก็จะไหลจากกันไป
คงไม่มีไม้ท่อนไหนที่ไหลมาชนกันโครม แล้วอยู่ติดกันตลอดไป

ชีวิตเราไหลมาเจอพ่อเจอแม่ อยู่ด้วยกันไม่กี่ปีพ่อแม่ตายจาก
ไหลมาเจอสามีหรือภรรยาในดวงใจ อยู่กันไปไม่กี่ปีบางทีไม่ตายจาก แต่เขาก็จากไปเอง
เพราะฉะนั้น วิถีชีวิตของมนุษย์เราจะเจอกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น
ถึงเราจะรักกันแค่ไหนจะดีต่อกันแค่ไหนก็ตาม ก็ชั่วคราวเท่านั้น

เพราะฉะนั้นเรามาเจอกันแค่ชั่วคราว ควรจะดูแลโมงยามที่แสนสั้นนี้ให้ดีที่สุด ให้เป็นชั่วคราวที่งดงามที่สุด

ที่มา ::
งามสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์
ท่าน ว.วชิรเมธี

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน (สมเด็จโต พรหมรังสี)


หัวใจของการทำบุญทุกครั้ง
ขอให้ญาติโยมจงแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งตามนี้


“ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ”

บุญที่ทำไปจะส่งผลให้ได้รับบุญในชาติปัจจุบันทันที

คำทำนายประเทศไทยของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก
เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยทำนาย

เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง
น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา
เป็นประชาจนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน
ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร
องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส
แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน
เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง
ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา
ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม
สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป
โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว
ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี
เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ
มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน
พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก
เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย
เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช
ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล
จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ
ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม
ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว
ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง
สายน้ำหลั่งกรากวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม
หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป
เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ...

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ท่องคาถาให้ขลัง


ถาม : เรื่องเกี่ยวกับคาถาสมัยก่อน....?

ตอบ: สมัยนี้ก็ขลัง สำคัญว่าโยมทำจริงมั้ย ? เรื่องของเวทย์มนต์คาถามันเป็นบาทของอภิญญา คนจะทำอภิญญาต้องเป็นคนเด็ดขาด จริงจัง สม่ำเสมอ ไม่ย่อท้อ สมัยนี้บอกให้ไปท่องคาถา หลวงพ่อท่านมีคาถาอยู่บท เรียกว่า คาถาเงินล้าน ถ้าหากว่าใครท่องจะรวย ท่านบอกว่าอย่างน้อยให้ท่อง ๗ จบ ๙ จบ โยมหลายคนมาบ่น บอกอยากจะรวย ถามว่ารู้จักคาถาเงินล้านมั้ย ? รู้...แล้วเคยท่องมั้ย ? เคย ท่องวันละกี่จบ ? หนึ่งจบ มันน่ารวยอยู่หรอก อาตมาบอกไปท่องไม่ต้องมาก วันละ ๑๐๘ หรือ ๓๐๐ จบก็ได้ เขาถามแล้วอาจารย์เคยท่องวันละกี่จบ ? บอกเคยท่องสูงสุดประมาณ ๑,๒๐๐ มันหมดวันซะก่อน คือท่องกันแบบเอาคุณภาพ ไปช้าๆ อย่ารีบ เหมือนกับกินข้าว ค่อยๆ เคี้ยวหน่อย เอาคุณภาพ ว่าไปเรื่อยๆ สบายๆ ใจไม่ต้องไปนึกอะไร คิดว่าเราทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ของที่ดีที่สุดที่ครูบาอาจารย์ให้มา หน้าที่ของเราคือท่องบ่นเป็นการรักษาไว้ ถ้าเราทำอย่างแบบนี้ จริงจัง สม่ำเสมอ ไประยะหนึ่ง ผลที่มันสะสมตัวมามันจะเริ่มเกิดมันก็จะส่งให้ จุดที่คาถาให้ผลจริงๆ ก็คือ กำลังใจของเราที่เป็นสมาธิ ยิ่งท่องเป็นสมาธิสูงเท่าไหร่ คาถายิ่งให้ผลมากเท่านั้น

สมัยก่อนเขาท่องกันจริงจังสม่ำเสมอ อาตมาเคยรู้จักอดีตโจรคนหนึ่ง แก่มากแล้ว เรียกแกว่า ลุง ถามว่าสมัยของลุงทำไมมันหนังเหนียวกันเยอะแท้ สมัยของพวกผมไม่เห็นได้อย่างลุงเลย บอกไอ้หนูลุงถึงจะเป็นโจร แต่ถ้าหากว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ต้องรีบภาวนา เพราะเราไม่รู้ว่าเจ้าทรัพย์จะฆ่าเราหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่าตำรวจจะยิงเราหรือเปล่า ? ว่างเมื่อไหร่ต้องภาวนา โอ้โห...ยิ่งกว่าพระอีก เพราะฉะนั้นเขาทำกันอย่างจริงจังสม่ำเสมอ และพวกนี้เขามีสัจจะ คำว่ามีสัจจะ อย่างโจรสมัยก่อนไปปล้น เขามีสัจจะอยู่ ถ้าหากว่าเป็นของที่เขาใช้อยู่จะไม่เอา เอาเฉพาะของที่เขาเก็บ เป็นของที่เขาเก็บก็จะไม่เอาหมด เอาครึ่งหนึ่ง เอาหนึ่งในสาม อะไรอย่างนี้ ถ้าหากเป็นของทำบุญนี่ จะไม่แตะต้องเลย

อาตมาอยู่นครปฐม มีโจรดังอยู่คนหนึ่ง คือ เสือผาด ทับสายทอง วันนั้นแกตั้งใจจะไปปล้นโรงสี ปักป้ายล่วงหน้าไว้ ๗ วัน ถึงวันนั้นฉันไปปล้นแน่ ถ้าอยากจะสบายๆ ก็เก็บเงินเก็บทองใส่กำปั่นรอไว้ ถึงเวลาไปหิ้วเสร็จ ก็จะไปเลย ไม่รบกวนอะไร ถ้าคิดจะสู้ ก็ไปหาคนมา ไปแจ้งตำรวจมาจะได้ฟัดกัน ปรากฏว่าเข้าไปถึงในงาน เถ้าแก่โรงสีกำลังบวชลูกชายอยู่ เสือผาดแทนที่จะได้สตางค์ ต้องควักตัวเองไป ๘๐๐ ไปให้เขา ถ้าทำบุญอยู่เขาไม่ยุ่งเลย แล้วอีกอย่างถ้าไปบ้านไหน เขาเคยให้ข้าวให้น้ำกิน เขาถือเป็นผู้มีบุญคุณ ให้อาหารเป็นการต่อชีวิต เขาจะไม่รบกวนบ้านนั้นอีกเลย

สมัยนี้ไม่มีหรอก มันปล้นกระทั่งพ่อแม่ตัวเอง ข่าวหนังสือพิมพ์ ดูหรือเปล่า มันเป็นสายให้เขาไปปล้น ให้เขาไปขโมยบ้านตัวเองก็มี ในเมื่อไม่มีความจริงจัง ความสม่ำเสมอ ขาดสัจจะ เรื่องเหล่านี้ทำไป ก็ไม่มีผล สมัยก่อนสัจจะเขามี ครูบาอาจารย์ห้ามอะไรเขาจะทำตามนั้น ห้ามด่าแม่คนอื่น ห้ามลอดราวผ้า ลอดใต้ถุนบ้าน เขาทำกันอย่างนั้นเลย

ปัจจุบันอาตมาก็เจอหลายคน เดินๆ ไป เห็นเขามองโน่นมองนี่ เลยถามว่าทำไม ? ระวังอยู่ กลัวจะไปลอดอะไรเข้า ถ้าอย่างนั้นเอ็งไม่ต้องเข้ากรุงเทพ เข้ากรุงเทพเมื่อไหร่ สะพานลอยเพียบ (หัวเราะ) เดี๋ยวมันก็ลอดจนได้ ทำให้จริง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนจริง ต้องทำจริงจัง แล้วจะมีผล ส่วนใหญ่ไปทำๆ ทิ้งๆ ยังไม่ทันจะเกิดผลก็ท้อเสียก่อน

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

แพ้


ฉันไม่เข้าใจนะ
ทำไมทุกคนต้องดิ้นรนทำงานหาเงินมากมาย
ทำไปเพื่ออะไรเหรอ

ทำงานมาก ๆ แล้ว (มีความสุขไม๊)
ได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว (มีความสุขไม๊)
สามารถไปยืนในจุดที่สูงสุดของชีวิตแล้ว (มีความสุขไม๊)

เชื่อฉันไม๊
ทุกครั้งที่คุณสามารถเอาชนะอุปสรรค
เพื่อให้ได้มาซึ่งที่คุณต้องการแล้ว
หรืออีกนัยหนึ่ง ความคุณสามารถสนองความอยากของคุณแล้ว
ทุกครั้งที่คุณได้มา
นิสัยของคุณจะเปลี่ยนไปทีละนิด
จะเปลี่ยนไปตามจำนวนความอยากของคุณ


จิตใจของคุณจะค่อย ๆ แคบลง,
เห็นแก่ตัวมากขึ้น,
และสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ
โดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด

เพราะในสายตาคุณมองเห็นแค่ชัยชนะ
โดยไม่สนใจหนทางที่ต้องเดินผ่านไป
เพื่อให้ถึงชัยชนะนั้น


สิ่งต่าง ๆ ที่อยากได้
พอตายไปจะเอาไปได้ไม๊
ถ้าพรุ่งนี้คุณต้องตาย
วันนี้คุณมีความสุขไม๊
วันนี้คุณทำดีที่สุดหรือยัง

หรือที่เราทำทุกวันนี้
เรายังต้องพ่ายแพ้อยู่เช่นเดิม
เพราะเรายังแพ้ใจของเราเองอยู่ตลอดเวลา
เราแพ้ความอยากภายในใจ
เราแพ้ความต้องการทางวัตถุ

ทุกวันนี้
"เราแพ้ทุกคน"


ถึงคุณยืนในจุดที่ประสบความสำเร็จ
คุณก็แพ้
เพราะคุณยังต้องดิ้นรนต่อไปเพื่อไม่ให้ใครมาแทนที่ที่คุณอยู่
จริงไม๊

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มารศาสนา (ไม๊)

พอดีเราเพิ่งไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดที่เราอาศัยอยู่
เราเคยไปบวชที่วัดนี้มาแล้วประมาณ 3 ครั้ง คือไปปีละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 วันอ่ะนะ
แล้วครั้งนี้เราก็ไปเหมือนเดิม

ครั้งแรกที่ไปบวช
แม่ชีที่เราไปอาศัยก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรหรอกนะ แต่ก็ต้องมีเงินทำบุญบ้าง อะไรบ้าง เราก็ให้ไม่ได้คิดมากอะไร

ครั้งที่สอง
แม่ชีบอกเราว่า ต้องเอาข้าวหอมมะลิ 5 กิโล 1 ถุง และน้ำตราสิงห์ขวดใหญ่ 1 โหล ต่อ 1 คนนะ ค่าชุด ๆ ละ 100 บาท และต้องมีเงินใส่ซองทำบุญให้แม่ชีด้วยนะคะ แม่ชีจะพูดประมาณว่า "คนนั้นมาบวช 7 วัน ถวายเงินช่วย 1200 คนนั้นมาบวช 9 วัน 2500 และถ้าเกิดแม่ชีบอกว่าช่วยแม่ชีหน่อยได้ไม๊ เท่านั้น เท่านี้ อยากถามหน่อยว่าเพื่อน ๆ จะช่วยไม๊"

ครั้งที่สามนี่ก็เหมือนกัน แต่ครั้งนี้จะหนักกว่าครั้งก่อน ๆ หน่อยหนึ่ง
ตรงที่ว่า "ครั้งนี้แม่ชี ท่านทำอะไรไม่ปิดบังเลยนะคะ คุยโทรศัพท์กับพระ แล้วยังมาบอกเราอีกว่า
"แม่ชี กับ พระ รักกันไม่ผิด"

"เพราถ้าพระดี ๆ ก็ต้องอยากได้ เพราะอยากได้สามีที่เป็นคนดี และจะสึกออกไปช่วยกันทำมาหากิน"
แถมแม่ชีองค์นี้นะ ท่านเป็นโยมอุปัฐากย์ให้กับพระรูปนั้นด้วยนะคะ ซึ่งเท่าที่เรารู้จักกับท่านมานะ แม่ชีท่านนี้จะบวชตลอดชีวิต เพราะท่านเคยสึกแล้ว แต่ไม่สามารถอยู่ได้ ก็เลยต้องกลับมาบวชใหม่ ตอนนี้อายุก็ 70 กว่า แล้วนะ


คือ ในความคิดของเรา มันไม่ใช่นะ
เพราะแม่ชี ในความคิดของเรา "ต้องไม่พยายามไปหลงในรูป เสียง กลิ่น ของเพศบรรพชิตสิ ถ้ารู้สึกว่ามันไม่เหมาะก็ควรต้องหลีกออกมาให้ไกล ๆ ใช่ไม๊ แต่นี่ไม่ใช่เลย แม่ชีพยายามทำอาหารไปถวายพระเด็ก ๆ หน้าตาดี ๆ ทุกวัน (ตอนเช้า) แต่พระอาจารย์ที่มีอายุแล้ว ท่านไม่ถวาย

เออ

เห็นแล้วเราก็งงไปเหมือนกัน

เพราะสำหรับเรา แบบนี้เราเรียกว่า "มารศาสนา"
ท่านมาบวชเพื่ออะไรเหรอ
ท่านมาบวชชี เพราะว่า
"พอเวลามีคนมาบวชชีพราหมณ์ที่วัด ท่านก็เรียกเก็บเงินน่ะสิ
ที่สำคัญท่านปล่อย เงินกู้ด้วยนะ"

โอ้โห
แบบว่า
เห็นแล้วไม่อยากจะไปบวชเลยอ่ะ
แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรหรอกนะ แค่อยากเก็บมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง
ใครเจอแบบเราบ้าง?
หรือเราเจอคนเดียว

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

กรรมเหนือหมอดู


กรรมเหนือหมอดู
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


ทำไมการพยากรณ์อดีตจึงแม่น พยากรณ์อนาคตไม่แม่น
ตอบ เพราะชีวิตคนมิได้ขึ้นอยู่กับโหราศาสตร์เป็นเงื่อนไขอย่างเดียว มันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขปัจจัยอีกมากมาย อดีตนั้น "นิ่ง" แล้ว ไม่มีเงื่อนไขอะไรมาผลักดันให้เป็นอื่นได้ เพราะฉะนั้น การทำนายทายทักจึงมักจะตรง แต่ปัจจุบันและอนาคต มันยังเคลื่อนไหวเพราะเหตุปัจจัยอีกหลายอย่าง ยังไม่นิ่ง
เงื่อนไข ที่สำคัญที่สุดคือ "กรรม" (การกระทำ) ของคนๆ นั้นอง เขาทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีคละกันไป สิ่งเหล่านี้แหละมีแนวโน้มจะให้ผลในอนาคต ไม่ว่าดี หรือไม่ดี
พูด อีกนัยหนึ่ง เราเป็นผู้กำหนดอนาคตเราเอง ถ้าต้องการให้ชีวิตเป็นไปอย่างใด ก็ต้องสร้างเงื่อนไขที่ดีๆ ไว้ให้มาก แล้วอนาคตจะไปดีเอง ตรงข้ามถ้าสร้างแต่เงื่อนไขไม่ดี อนาคตก็เป็นไปตามนั้น

คนเราถ้าไม่ขวนขวายพยายาม
ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม
ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฟ้าดิน
แต่กรรมเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดอย่างแท้จริง
นั่นคือเราต้องสร้างอนาคตของเราเอง
คนที่พยายามพึ่งตัวเองด้วยการกระทำแต่ความดีถึงที่สุดแล้ว
ย่อมอยู่เหนือโชคชะตา

ถ้าใครคิดว่าชีวิตถูกลิขิตมาอย่างใดก็ย่อมเป็นอย่างนั้น แก้ไขไม่ได้เลย
ผู้นั้นถึงจะเป็นคนคงแก่เรียนเพียงใด
ก็นับว่าโง่อยู่นั้นเอง

เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า การเด็ดดอกไม้เพียงดอกเดียว สะเทือนไปถึงดวงดาว
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราตัดสินใจทำกรรมดีกรรมชั่วในตอนนี้ มันสะเทือนไปถึงปัจจุบันและอนาคตของเราด้วย
ด้วยเหตุนี้ หมอดูดังๆจำนวนมากมักทำนายเหตุการณ์ต่างๆผิดพลาด
เพราะเขารู้แต่พรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิม พรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่เขาไม่รู้
แม้แต่พระอริยะเจ้า ท่านยังทำนายพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ไม่ได้เลย ท่านรู้เฉพาะพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมเท่านั้น

1. หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
หลวงพ่อจรัญทำนายว่า.....อาตมาจะมรณภาพวันที่ 14 ตุลาคม 2521 เวลาเที่ยง 12.45 น.ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมของท่าน
เมื่อถึงเวลานั้น หลวงพ่อจรัญท่านก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ คอหักจริงๆ แต่ท่านไม่ตาย ด้วยเหตุที่ หลวงพ่อจรัญได้สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมาก และแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น ไก่เหล่านั้นเลยให้อภัย ท่านจึงแค่คอหัก แต่ไม่ตาย
นี่คือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ของท่าน
วิเคราะห์
- หลวงพ่อจรัญมองเห็นกรรมเก่าที่จะให้ผล(ตามพรหมลิขิต/กฎแห่งกรรม)
- หลวงพ่อจรัญมองไม่เห็นกรรมใหม่ที่จะให้ผล ท่านทำกรรมใหม่ คือ สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมาก และแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น
- กรรมใหม่ส่งผลเปลี่ยนพรหมลิขิต กฎแห่งกรรมในอดีต จึงให้ผลไม่ได้เต็มกำลัง เพราะโดนวิบากกรรมดีในชาตินี้ช่วยไว้

2. พระสารีบุตร
ในครั้งพุทธกาล พระสารีบุตร และภิกษุอื่นๆ ต่างไม่ได้ให้พรเณรบวชใหม่คนหนึ่ง ให้มีอายุยืน เพราะวิบากกรรมของเขาต้องตาย ถึงฆาตแน่ พระสารีบุตรได้เล็งเห็นว่า เณรผู้นี้จะมรณะในอีก 7 วัน
ท่านจึงอนุญาตให้เณรกลับไปเยี่ยมบ้าน เพื่อโปรดบิดามารดา และญาติโยมทางบ้านเป็นครั้งสุดท้าย
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมของเณรบวชใหม่
เมื่อเพลาผ่านไปเจ็ดวัน เณรได้กลับมายังอารามเหมือนเดิม พระสารีบุตรเองแปลกใจว่า เพราะเหตุใดเณรคนนั้นไม่ตาย ท่านจึงได้สอบถามเณรว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทางไปและกลับ เณรได้แถลงไขว่า ระหว่างทางที่ไปนั้น ได้พบปลาจำนวนหนึ่งตกคลักในหนองน้ำที่ใกล้แห้ง จึงได้เอาจีวรช้อนขึ้นมาไปปล่อยในแหล่งน้ำที่ใกล้ๆ
ด้วยญาณแห่งพระสารีบุตร ท่านก็ทราบได้ว่า ปลาเหล่านั้น คืออดีตเจ้ากรรมนายเวรของเณรผู้นั้นเอง และเมื่อเณรได้นำปลาไปปล่อยในแหล่งน้ำ เท่ากับว่าได้ทำบุญต่ออายุให้กับตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวรนั้น จึงได้อโหสิกรรมให้เณร
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ของเณรบวชใหม่
วิเคราะห์
- พระสารีบุตรมองเห็นกรรมเก่า(พรหมลิขิต/แผนที่ชีวิต)ที่จะให้ผลให้เณรคนหนึ่งตาย
- พระสารีบุตรมองไม่เห็นกรรมใหม่ ที่จะให้ผลให้เณรคนนั้นไม่ตาย ซึ่งเป็นตอนที่เณรคนนั้นเดินทางกลับบ้าน เณรไปปล่อยปลา ซึ่งเป็นการทำกรรมใหม่ ทำให้กรรมเก่าของเณรไม่ส่งผล

มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สามารถเห็นอนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง

สรุป
กฎแห่งกรรมก็คือพรหมลิขิตนั่นเอง
แต่กฎแห่งกรรมบอกวิธีการแก้พรหมลิขิต
หรือ แก้แผนที่กฎแห่งกรรมในอดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบันและอนาคตเอาไว้ด้วย
ถ้าเราทำตามพรหมลิขิต โดยไม่แก้ไขอะไรให้ดีขึ้น ก็เท่ากับเราไม่เข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างแท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

ดิ้นรน


เราเชื่อว่าทุกคน
ต้องมีความรู้สึก
อยากได้, อยากมี, อยากเป็น
เราเองก็มีความอยากเหมือนกันนะ

เราอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง
เราอยากมีรถ
เราอยากมีเงินเก็บสักก้อน
เราอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง

มันเป็นความต้องการพื้นฐาน
ที่คนเราทุกคนอยากมีเหมือนกัน

แต่เราเพิ่งคิดได้ว่า
เราอยากมีไปเพื่ออะไร
เราอยากมีให้ลูกของเรา
แล้วถ้าลูกของเราไม่สามารถเก็บรักษาสิ่งที่เราเพียรหาได้ล่ะ เราเสียใจไม๊?

คนทุกคนล้วนดิ้นรน
ไปให้ถึงจุดหมาย
หรือความฝันที่เราล้วนกำหนดขึ้น
ไม่ใช่แค่เราเป็นผู้กำหนด
แต่สังคม และครอบครัวก็เช่นกัน

ทุกคนรอบ ๆ ตัวของเรา
กำหนดบรรทัดฐานของชีวิตมนุษย์
ไว้ที่สิ่งของ, ไว้ที่พาหนะ, ไว้ที่เคหาสน์สถาน
แต่เราลืมกำหนดบรรทัดฐานให้กับจิตใจของเราเอง

บางครั้งเราอาจดิ้นรนมากเกินไป
ดิ้นรนจนเราอาจคิดว่า
"ทำไมชีวิตของเราถึงไม่มีอะไรดีสักอย่าง?"
"ทำไมเราต้องดิ้นรนมากกว่าคนอื่น?"
"ทำไมเราไม่สบายสักที?"

แต่เราลืมไปนะว่า
สิ่งที่เราอยากให้มันมี
มันสมกับฐานะของเราหรือไม่
เรามีความสุขหรือไม่
กับการดิ้นรนให้ได้มา
และเราจะมีความสุขหรือไม่
หากเราต้องสูญเสียมันไป

ชีวิตมนุษย์มันก็ไม่ได้ยืนยาวอะไรเลยนะ
แต่ทำไมทุกคนมุ่งแสวงหาแต่วัตถุภายนอก
แล้ววัตถุภายในที่เราจะนำพาไปได้เมื่อถึงวันตาย
ทำไมไม่มีใครแสวงหาบ้างล่ะ?

ฉุกคิดสักนิด
ลดอาการดิ้นรนสักหน่อย
อย่าให้ความอยาก
มาบดบังสิ่งที่เราสามารถมีความสุขได้ในวันนี้

อย่ามองอนาคตที่มันอยู่ไกลเกินไปเลย
มองใกล้ ๆ หรือมองแค่วันนี้
คิดเผื่อไว้บ้าง
เผื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีสำหรับเราล่ะ
เราจะมีความสุขกับวันนี้ได้ไม๊

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ปัญหามีทางออกเสมอ


สำหรับทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า
นับตั้งแต่วันที่เราลืมตาขึ้นมาดูโลกจนถึงทุกวันนี้
เราได้พบเจอกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย
ที่มีผลในการดำเนินชีวิต และการตัดสินใจ

เพียงแต่ว่า
เมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้น
เราไม่ได้เผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง
เรามีพ่อ มีแม่ มีญาติพี่น้อง
คอยช่วยเหลือ คอยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้
ถึงวันนั้นเราจะท้อแท้ หรือหมดกำลังใจ
แต่เรายังมีคนคอยเป็นที่พึ่งให้เราอยู่เสมอ

ทุกครั้งที่เราหมดหวัง
เราไม่เคยอยู่คนเดียว
ทุกครั้งที่เราอยากมีกำลังใจ
เราสามารถขอความเห็นใจจากพี่น้องมากมาย
ทุกครั้งที่เราอยากขอความช่วยเหลือ
เราก็มีมือมากมายคอยโอบอุ้ม และปกป้องเราเสมอ


และวันนี้
เมื่อเราเติบโตแล้ว
เรามีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว
เราก็ยังปรารถนาจะให้มีคนคอยปกป้องเราเหมือนเช่นเดิม
แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เพราะในวันนี้ ความรับผิดชอบของเราต้องมากขึ้น
และที่สำคัญ เราต้องโตขึ้น
ต้องมีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตมากขึ้น
เพื่อที่เราจะสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกของเราได้
เหมือนเช่นที่พ่อแม่ หรือลุงป้า หรือน้าอา
เคยช่วยเหลือเรามาก่อน

ปัญหามีไว้แก้ไข
ปัญหามีไว้เพื่อให้เรามีประสบการณ์
ปัญหามีไว้เพื่อให้เรามีความพยายาม
และสำหรับทุกปัญหามันมีทางออกเสมอ
เพียงแต่ในวันนี้ เราอาจจะยังไม่เจอทางออก
หรืออาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา
แต่ทุกปัญหามีทางออกจริง ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ "การสวดพระคาถาเงินล้าน"



บางครั้งเราจำเป็นต้องอาศัยเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากศรัทธาที่เรามีต่อพระพุทธศาสนา

ดังนั้นการเลือกจะสวดมนต์ใน "พระคาถาเงินล้าน" ก็เกิดขึ้นจากศรัทธาเช่นเดียวกัน
แต่เคล็ดลับในการสวด "พระคาถาเงินล้าน" นั้น
ผู้สวดจะต้องสวดด้วยจิตอันตั้งมั่น
ไร้ความอยากต่าง ๆ ความโลภ
ให้สวดด้วยความมีเมตตา , ความกรุณา, ความรัก
ให้มโนภาพเห็นแสงสว่างอันอ่อนนุ่ม
แผ่ความกรุณาให้ไพศาล
ให้เห็นกลีบดอกบัวสีขาวเป็นล้าน ๆ กลีบ
แผ่ความรักความกรุณาจากเหนือกลางกระหม่อมออกไป
ถึงบุคคลต่าง ๆ หรือมวลมนุษย์, สรรพสัตว์ ตลอดทั้งจักรวาล และ 3ภพ

นี่เป็นเคล็ดลับในการสวด "พระคาถาเงินล้าน"
เพราะจริง ๆ แล้วการสวดมนต์
เราไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน
ถึงแม้พระคาถานี้จะเด่นทางด้านโชคลาภ
แต่เราควรสวดมนต์ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

คือให้นึกถึงเฉพาะบทสวดมนต์
พยายามอย่าให้จิตคิดถึงสิ่งอื่นใด หรือคิดในเรื่องต่าง ๆ
พยายามดึงจิตใจให้กลับมาสวดมนต์
ให้กลับมาอยู่ที่เดิม

ที่สำคัญสำหรับเรา
เราจะนึกถึงหน้าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อเงินไหลมา (วัดท่าซุง)
เพียงแต่เพิ่งรู้วันนี้แหล่ะว่า
"ห้ามโลภ คือเวลาสวด ให้ทำจิตใจให้ว่างที่สุด"

วันนี้เราจะลองทำใหม่
จะพยายามกำหนดให้จิตมีสติ
เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น

สวดมนต์


"ลองสวดมนต์สิ"
นี่คือคำที่หลาย ๆ คนจะได้ยินจากเราบ่อยมาก ๆ
ใครที่ประสบปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ มาเจอกับเรานะ
เราก็จะบอกไปว่า "ให้ลองสวดมนต์ดูสิ"

นาทีที่เค้าประสบพบเจอกับปัญหาเนี่ย
เราก็รู้นะว่า "จิตเค้าตกแน่นอนแหล่ะ"
เพียงแต่ว่า เราจะทำยังไงให้เค้ามีสติ
เพราะเวลาคนเราจิตตก สติก็กระเจิงเหมือนกันนะ

ก็มักจะบอกหลาย ๆ คนให้ไปสวดมนต์ดู
อยากขายของดี "ให้สวดมนต์"
อยากให้มีคนรัก "ให้สวดมนต์"
อยากรวย "ให้สวดมนต์"
อยากมีลูกดี "ให้สวดมนต์"
อยากมีแฟนดี ๆ "ให้สวดมนต์"
ใครมีความอยากมีหลายประการ เราก็จะบอกเหมือนกันว่า "ให้สวดมนต์"

เพราะ "เราสวดมนต์นะ นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่เรามี ถึงแม้เราจะมีปัญหามากมายเพียงใดตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงสิ้นปี เราก็จะพยายามสวดมนต์ แม้จะไม่ได้ทุกวัน แต่เราก็จะพยายามไปสวดมนต์ให้ได้ คือต้องพยายาม ถึงแม้จะท้อแท้ และล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่เราก็จะพยายามนะ พยายามทำให้ได้ เพราะเรากลัวไง เรากลัวว่า ถ้าวันไหน เราหยุดสวดมนต์ เรากลัวเวรกรรมจะตามมาทัน เรากลัวการไม่มีเงิน เรากลัวการไม่มีงาน แต่เวลาที่สวดมนต์ เราจะพยายามทำจิตใจสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง แต่ทุกครั้งเราจะคิดว่า ทำให้ดีที่สุด แค่นี้แหล่ะ "พอ""

เราก็จะยกข้อดีของการสวดมนต์
ไปบอกกับคนที่เจอปัญหานะว่า
ข้อที่ 2 ของ อิติปิโส ก็คือ สวากขาโต
ซึ่งท่อนนี้จะแปลว่า
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งผู้รู้ก็จะรู้ได้เฉพาะตน
อันนี้เราก็จะแปลเป็นภาษาที่ทำให้เค้าเข้าใจง่ายขึ้นว่า

พระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น
ที่จะสามารถมองเห็น หรือรับรู้ได้
ถ้าคุณไม่ลองดู แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง
ในเมื่อคุณอยากรู้
แต่ถ้าคุณไม่อ่าน
แล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้


นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามบอกกับหลาย ๆ คนให้เค้าทำ
แต่เราก็ไม่สามาถชักจูงคนได้ทั้งหมดหรอกนะ
เพราะบางครั้งสิ่งที่เราพูดก็มีคนอีกมากมายที่ไม่เชื่อ
เพราะตัวเราเองก็ผิดศีลข้อ 4 ซึ่งผลแห่งการผิดศีลข้อนี้ก็คือ
ทำให้ไม่มีคนเชื่อถือในคำพูดของเรา เหมือนเราพูดเพ้อเจ้อ

แต่เราก็พยายามนะ
เพราะเราแค่อยากให้เค้าได้ดี
และเราอยากให้เค้าได้รู้
ในสิ่งที่เรารู้เช่นเดียวกัน

แค่คิดดี และอยากให้คนอื่นได้ดี
มันก็คงเพียงพอแล้ว
สำหรับการชักชวนคนรอบข้างให้มาสวดมนต์
อย่างมีสติ

ความดี


วันนี้เป็นวันที่เรามีความยินดีมาก ๆ เลยนะ
ปัญหาของเราที่ใหญ่กว่าปัญหาเก่ายังรอเราแก้ไขอีกเพียบ
แต่วันนี้เราภูมิใจและยินดีอย่างยิ่งที่อยากจะบอกให้หลาย ๆ คนได้รู้ว่าวันนี้
"เราทำความดี ด้วยใจบริสุทธิ์จริง ๆ"

เมื่อก่อนเราทำความดี แค่การกระทำ
แต่วันนี้ปัญหาที่เราต้องเจอหลาย ๆ ครั้ง
ค่อย ๆ บ่มเพาะจิตใจของเราให้เข้มแข็ง และแกร่งมากยิ่งขึ้น
ถึงเราจะท้อทุกครั้งที่เจอปัญหา
แต่เรายังไม่เคยละเว้นในการทำความดีเลยนะ

ถึงแม้บางครั้งเราจะไม่มีเงินไปทำบุญ หรือพาแม่ไปวัด
แต่เราสามารถทำความดีได้
แม้ว่าเราจะอยู่ที่บ้าน
เพราะเราสามารถดูแลพระในบ้านได้

โดยสิ่งที่เราทำนั้น
เราต้องบอกว่า มันทำให้เรารู้สึกดีมาก ๆ เลยนะ
มันอิ่มเอมใจ และมีความสุขมาก ๆ เลย

วันนี้เราไม่เสียใจแล้วนะ ที่แม่ไม่เหลือสมบัติอะไรให้เรา
เพียงแค่วันนี้ เรามีแม่ให้เราแสดงความกตัญญูกตเวที
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วแหล่ะ
เราไม่ต้องเดินทางไปหาพระอรหันต์ที่ไหนหรอกนะ
เพราะพระอรหันต์สำหรับลูกทุกคน
ก็คือ "แม่"

เรามีความสุขที่เราได้ตอบแทนพระคุณของแม่
แม่สอนให้เรารู้จักกับคำว่า "เสียสละ"
เราจะทำให้แม่มีความสุข
แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราก็มีความสุข
และแม่ของเราก็มีความสุขด้วยเช่นกัน

เงินทองเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต
แต่เงินทองไม่ใช่ทางออกของปัญหาในชีวิตได้หรอกนะ
และเงินทองไม่สามารถนำพาใครไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานได้

นี่คืออีกหนึ่งสัจธรรมที่เราค้นพบหลังจากที่เราได้ว่างเว้นจากการเขียนบล๊อกไป
เราอยากบอกต่อแค่นั้นเอง

อุปสรรค


อุปสรรคที่เราต้องเจอในวันนี้
คือ กรรมเก่าที่เราเคยทำกับใครไว้ในชาติก่อน ๆ
ผลที่เราต้องมาเจออุปสรรคเหล่านี้
ทำให้เราท้อแท้ และถามตัวเองเสมอว่า
"ทำไมชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้ ในเมื่อวันนี้เราไม่ได้คิดร้าย หรือทำเรื่องไม่ดีต่อใครทั้งสิ้น แต่ทำไมชีวิตของเรายังต้องเจอกับเรื่องพวกนี้"
แต่เมื่อเราก้าวผ่านอุปสรรคนั้นมาได้
พอเราหันกลับไปมองดู เราจะรู้สึกว่า
อุปสรรคนั้นไม่ได้ใหญ่มากไปกว่าใจเราคิดเลย
เพราะเราสามารถผ่านมาได้
แต่อุปสรรคใหม่ที่กำลังรอเราอยู่ในข้างหน้า
"ทำไมมันถึงยากจัง"
นี่คือสิ่งที่เรากำลังเจอ และเรารู้สึกว่า
"เราต้องรวบรวมทุก ๆ ความอดทนที่เรามีเพื่อทำให้เราสามารถผ่านไปให้ได้"
"ถึงแม้จะยากเย็นแค่ไหน ถึงแม้เราจะต้องจมกับอุปสรรคนี้อีกนานแค่ไหน แต่มันจะต้องมีวันที่เราผ่านไปได้"
เพียงแต่ เราต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับอุปสรรคที่เรากำลังเจอ

ถึงแม้วันนี้เราจะสามารถผ่านอุปสรรคนี้ไปได้
แต่เราก็ยังมีอุปสรรคใหม่ รอเราอยู่แล้ว
เพราะถ้าเราได้ผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปได้
อุปสรรคที่เราจะต้องเจอ
มันต้องยากกว่านี้แน่นอน
เพียงแต่เป็นการเพิ่มระดับความยากขึ้น
และเมื่อวันที่เราสามารถชนะอุปสรรคทั้งหลายได้
เราก็สามารถยกระดับจิตใจของเราได้เช่นกัน

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ
สำหรับการเป็นคนดี