วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เค้าคนนั้น



ณ วันนี้ เวลานี้
ทำไมเราถึงรู้สึกว่า เรากับเค้าห่างกันเหลือเกิน ถึงแม้จะอยู่ในบ้านเดียวกัน นอนบนเตียงเดียวกัน แต่มันเหมือนเค้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่กับเราตรงนี้อีกแล้ว
เรารู้สึกเหมือนเคว้งนะ รู้สึกแปลก ๆ อ่ะ
เราเชื่อมั่นนะว่า เค้าจะไม่มีวันไปจากเรา แต่พอถึงวันนี้เราก็ได้รู้แล้วว่า มันอาจจะไม่แน่เสมอไปแล้วนะ
เค้าไม่เคยคิดว่า "การนอกใจเป็นสิ่งที่ผิด"
ทุกวันนี้เค้ากลับคิดและชอบที่จะยัดเยียดความคิดนั้นมาใส่ไว้ในหัวเราว่า "เรากำลังจะนอกใจเค้า" , "เรากำลังจะมีชู้"
ทำไมเค้าไม่คิดบ้าง ว่าสิ่งที่เค้าทำกับเรามันเจ็บแสบแค่ไหน แล้วพอวันนี้ วันที่เราเริ่มมีสังคมเป็นของตัวเอง เค้าจะมาเรียกร้องหาอะไร ในเมื่อวันที่เราไม่มีสังคม เค้าก็ไม่เคยอยู่เป็นเพื่อนกับเรา
"เราไม่เคยคิดนอกใจเค้านะ" และ "เราก็ไม่เคยคิดมีชู้ด้วย"
เพราะแค่ผู้ชายคนนี้คนเดียว ชีวิตของเรายังพังพินาศขนาดนี้ ถ้าเรายังไม่จำก็ไม่รู้จะด่าว่ายังไงแล้ว
อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่วันนี้สิ่งที่เราได้รับมันมากมายนัก มันมากจนทำให้ใจของเราด้านชาไปหมดแล้ว
เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกไปเป็นชิ้น ๆ เลย เหมือนใจจะขาด ไม่มีสติอะไรเลย
พอดีขอไปเจอพี่คนหนึ่งเค้าพูดให้กำลังใจมา
"ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีผู้ชายคนนี้อยู่ แล้วใครจะเป็นหัวหน้าครอบครัว ใครจะเป็นคนดูแลลูกชายและแม่ของเรา"
คำตอบน่ะเหรอ
"ก็เราไง"
"ดังนั้นพี่เค้าก็เลยบอกว่า เสียใจได้นะ แต่เราควรรีบยืนให้ได้ในเร็ววัน เพื่อคนที่เค้ารักเราจริง ๆ ไม่ใช่ผู้ชายหลอกลวงคนนี้"
แต่วันนี้เค้าก็ยังทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนะ
แบบว่า ไม่รู้สึก ไม่รู้สาอะไรทั้งนั้น
ไม่รู้ว่าเคยทำอะไรไว้
ไม่คิดมั้งว่าเราจะเจ็บเป็น

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทางออกแห่งทุกข์


ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายขนาดนี้
คำพูดที่บอกเอาไว้ว่า
คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต


ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ผู้หญิงทุกคนอยากสวย อยากจะดูดีอยู่ตลอดเวลา แต่เชื่อไม๊ว่าจริง ๆ แล้ว
เสน่ห์ที่แท้จริง มันอยู่ที่ใจ (ถ้าจิตใจของเราคิดแต่สิ่งดี ๆ ไม่คิดร้ายกับใคร หรือใครจะทำอะไรให้เราเดือดร้อนขนาดไหน ถ้าเราให้อภัยเค้าได้ ก็ควรจะให้ซะ) แล้วเสน่ห์ที่แท้จริงจะปรากฎออกมาเอง

ความงดงามที่แท้จริงโดยปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ เกิดขึ้นมาได้โดยที่เราควรทำจิตใจของเราให้งดงามจริง ๆ ก่อนนะ
ไม่ใช่แบบว่า ปากบอกไม่โกรธ แต่ใจนี่เป็นไฟไปแล้ว (อาการแบบนี้ยิ่งหนัก ตีนกามาเร็วมากเลย ดีไม่ดีเป็นโรคหัวใจอีกนะ ถ้าทำไม่ได้ควรระเบิดออกไปเลย อย่าไปใส่หน้ากากให้คนอื่นเค้า มันไม่ดี เหมือนว่าเราไม่จริงใจ)

ถึงแม้ตัวเราเองจะพยายามทำทุกทางให้สวยอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายเราก็ไม่สามารถดึงใจให้สามีกลับมารักเราได้เหมือนเดิม ต่อให้เราพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ของแม่ ทำหน้าที่ของเมีย ต่อให้ดีแค่ไหน ก็ไม่ดีในสายตาเค้า

ในวันนี้ เราได้ข้อคิดจากความพยายามทั้งหลายทั้งปวงที่เราเคยทำ สุดท้ายมันก็เหมือนเดิม ต่อให้เราสวยกว่านี้อีกร้อยเท่าพันทวี ถ้าคนคิดจะนอกใจ ยังไงก็นอกใจ ไม่มีทางที่เค้าจะสามารถรักเราคนเดียวได้ตลอดหรอก

เราเลยกลับมาคิดใหม่ คิดช้า ๆ คิดซ้ำ ๆ ให้หนักแน่นที่สุด
เราจะพยายามไม่คิดร้ายกับเค้า
เราจะพยายามไม่โกรธ หรืออาฆาตเค้า
เราจะพยายามไม่ถามเค้าว่าทำไม
เราจะพยายามขออโหสิกรรม และแผ่เมตตาให้ได้ทุกวัน
เพื่อให้เรากับเค้าได้หมดเวร หมดกรรมต่อกัน

บางครั้งเราคิดว่าเราเจ็บวันนี้มันมากที่สุดในชีวิตแล้ว แต่เปล่าเลยมันมีอีกครั้งที่เจ็บหนักกว่าเดิมอีก แล้วมันก็เจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไม เจ็บแทบขาดใจ เหมือนใจจะขาด
จริง ๆ ชั่วโมงบินเรื่องคู่ของเราก็เยอะนะ แต่เราไม่สามารถช่วยตัวเองได้เหมือนกัน ทุกวันนี้ก็ขอยึดในคำสอนของพระพุทธเจ้า เครื่องยึดเหนี่ยวของจิตใจ (เป็นทางออกที่ดีที่สุดจริง ๆ สำหรับความทุกข์ทุกรูปแบบ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เจอทางออก ถ้ามาศึกษาด้านนี้ ยังไงก็เจอ)
คำว่า "บังเอิญ" ไม่มีบนโลกนี้หรอกนะ ที่บังเอิญน่ะ มันเกิดมาจาก "กรรมลิขิตให้เจอ" ต่างหาก

เฮ้อ
ขนาดว่าเจอมาเยอะ ก็ยังเจ็บเยอะ
ขนาดว่ามีที่พึ่งทางใจ ก็ยังเผลอให้จิตตกอยู่บ่อย ๆ

วิธีนี้ดีที่สุดจริง ๆ
พระพุทธเจ้า ได้ตรัสเอาไว้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะรู้ได้ ใครไม่ได้ปฏิบัติก็จะไม่รู้
ขนาดปฏิบัตินะเนี่ย ยังเกือบไม่รอด
แต่เราก็จะทำต่อไปนะ
เราเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทางออกแห่งทุกข์ คือ สติ (ยังไงล่ะ)

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความทุกข์


เราไม่เข้าใจนะว่า ทำไมทุกปัญหาที่มันมีอยู่บนโลกใบนี้จะต้องดาหน้าเข้ามาให้เราประสบพบเจอเวลาเดียวกัน พร้อมกัน
ถึงกับมึนไปเลยนะ ทั้ง ๆ ที่เราเองก็มั่นใจมาก ๆ เลย "ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เราจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้" แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วนะ มันหนักมาก ๆ มันมากเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน การงาน หรือความรัก
เราก็ทำความดีเยอะเหมือนกันนะ แล้วตอนที่ทำก็ไม่ได้คิดหวังจะต้องได้รับสิ่งใดตอบแทนหรอก แค่แอบคิดไว้เล็ก ๆ ว่าอย่าให้เราต้องมีชีวิตที่ตกต่ำเหมือนเช่นในอดีตอีกเลย
แต่พอวันนี้มาถึง เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันนะว่า ชีวิตของเราจะตกต่ำไปเหมือนตอนนั้นอีกไม๊
มันรู้สึกตื้อ ๆ งง ๆ
เราไม่เคยคิดร้ายกับใครเลยนะ เราไม่ได้หวังจะให้ใครมาชื่นชมในความดีที่เราทำ แต่เราหวังให้ผลแห่งความดีที่เราทำจากอดีตมาจนถึงทุกวันนี้ คอยรองรับเรา อย่าให้เราต้องประสบชะตากรรมหนัก ๆ อีกเลย
เหมือนเคราะห์ซ้ำ กรรมซัด
เราจะทำยังไงดี อนาคตเราจะเป็นยังไง
มันน่าสมเพชนะว่าไม๊
มันเหนื่อยมันล้าไปหมดทุกอย่าง
เราเชื่อเรื่องเวรกรรมนะ เราก็พยายามนำแนวทางพระพุทธศาสนามาคอยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่เราคงศึกษามาน้อยเกินไป มันถึงได้เป็นแบบนี้
เค้าเรียกว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด"
ขนาดกับยอดดวงใจของเรา เรายังโมโหใส่เค้าเลย เราเสียใจนะที่เราตะคอกใส่ลูก แต่เราจะทำยังไง เราเครียด
ชีวิตเราก็คงจะเป็นเหมือนที่สามีของเราพูดน่ะแหล่ะ "ทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง"
กำลังใจเราจะหาได้จากที่ไหนบ้าง
เราไม่อยากร้องไห้ ให้ลูกได้เห็น เราสงสารเค้า เรารักลูกมากนะ แต่เรากำลังทำร้ายลูก เราทะเลาะกับสามี มันแทบขาดใจเลยนะ เราพยายามอดทน เพื่อจะได้ไม่ต้องมีปากเสียงกันให้ลูกกับคุณแม่ของเราได้ยิน
ใครก็ได้ช่วยด้วย
ไม่รู้ว่า เวรกรรมอะไรนักหนา

ความประทับใจในการนวดแผนไทย


เพิ่งจะได้รู้จักกับการนวดแผนไทยด้วยตัวเองมาเมื่อไม่นานมานี้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ทึ่งมาก ๆ เลยแหล่ะ เพราะตัวเราเองเป็นคนที่ชอบนวดมากเลยนะ ไปนวดร้านนั้น ไปสปาร้านนี้ พอได้นวดแล้วรู้สึกดีมาก ๆ เลย พอมาเมื่อตอนต้นปีมีการสอนนวดแผนไทยฟรี ก็เลยลองไปลงเรียนดู เผื่อว่าจะเอามานวดพี่นวดน้อง นวดญาติ ๆ อะไรประมาณนี้ ไม่ได้คิดหรอกนะว่าจะเอาวิชาชีพนี้มาใช้เลี้ยงปากท้องเหมือนทุกวันนี้ แต่ที่อยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะอาชีพนี้แหล่ะ ตั้งแต่โดนลอยแพมาก็ใช้วิชาชีพนี้แหล่ะเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูก เลี้ยงแม่มาได้ แต่กว่าจะตั้งตัวได้ก็พอตัวเหมือนกันนะ เพิ่งจะมาเริ่มต้นตอนเกือบจะ 30 ปี โดยที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครอุปถัมภ์ค้ำชู ไม่มีคนที่ได้ชื่อว่าพ่อ ได้ชื่อว่าแม่มาคอยสนับสนุน หรือให้คำปรึกษาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เราทำได้แล้ว เราดีใจมาก ๆ เลยนะ เรามีวันนี้แล้ว วันที่เราใช้วิชาชีพนี้เลี้ยงตัวเอง ถึงจะยังไม่ได้ดีเลิศมากมาย แต่เรามีความรู้สึกดี ๆ ให้กับสิ่งที่เราทำ เรารักการนวดแผนไทย
วิชาชีพนี้ทำให้เราได้รู้ว่า เราสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ โดยใช้สองมือของเรานี่แหล่ะ แค่บีบ คลึง นวด หรือเน้นในบริเวณที่เค้าเจ็บ หรือในบริเวณสาเหตุที่เกิด เค้าก็จะอาการดีขึ้น
เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ เลย
เราอยากเป็นคนที่คนอื่นเรียกว่า "หมอ" ไม่ใช่ "หมอนวด" หรือคิดว่าเราเป็น "หมอนาบ" ประมาณนี้
ทำไมหลาย ๆ คนชอบดูถูกว่าอาชีพนี้ ไม่มีเกียรติ จะต้องเป็นอะไรที่ไร้ศักดิ์ศรี ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้มาขอให้เราช่วยเหลือ แต่ไม่ได้มีความรู้สึกเกรงใจเหมือนกับการไปหา "หมอ" ทั่วไปเลยนะ
แต่ไม่เป็นไรหรอก เราทำอะไร เรารู้ตัว เราทำดี ทุกอย่างมันจะดีเองแหล่ะ
จริงไม๊
ความดีไม่ได้ทำยากจริง ๆ ใช่ไม๊

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจ็บจังเลย

เมื่อคืนเพิ่งจะได้รู้ความจริง

สามีที่เราคิดว่าเค้ารักเรามาก ก็ไม่รู้นะว่าคิดได้ยังไงว่าเค้ารักเรามาก ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา 6 ปี เค้าไม่เคยหยุดที่จะทำให้เราเสียใจเลย มีแต่ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะต้องเจ็บแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เรารู้ตัวนะว่าเราเจ็บมาก แต่ทำไมเรายังไม่หยุดสักที

เรากำลังจะทำร้ายคนที่เค้ารักเราจริง ๆ ใช่ไม๊ ไม่ว่าจะเป็นลูกของเรา หรือว่าแม่ของเรา เพราะผู้ชายคนนี้ใช่ไม๊

เราเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ความรัก สำหรับเค้าแล้วมันคืออะไร คือการโกหกเรา หลอกเราอย่างนั้นเหรอ ซึ่งเค้าก็รู้นี่นาว่าไม่สามารถหลอกเราได้นานหรอก ถึงยังไงเราก็ต้องจับได้ และเราก็จับได้เหมือนเดิม กับผู้หญิงคนเดิม ที่เค้าทำเป็นส่งข้อความไปบอกเลิกแล้ว ก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่คราวที่แล้วแหล่ะนะ ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมือถือของเค้าอีกต่อไปแล้ว จะไม่อยากรู้ อยากเห็นอีกต่อไป แต่พอถึงเวลาจริง ๆ มันเหมือนมีอะไรมาสะกิดทำให้เราอยากรู้มาก ๆ เลย

และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง เค้าขอโทษ จะไม่ทำอีกแล้ว รักเรา รักลูกมาก เหมือนเดิม ทุกอย่าง แม้แต่สีหน้า ท่าทาง

ขนาดตัวเรายังรู้เลยว่าเค้าไม่ได้รักเราจริง ๆ แต่เราไม่เข้าใจ ทำไมเค้าถึงไม่ออกไปจากชีวิตของเรา เค้าจะอยู่ทำไม เพื่ออะไรเหรอ เราอยู่ได้นะ ถึงเราจะต้องลำบากมากกว่านี้ แต่เราก็ต้องอยู่ให้ได้

เราไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีให้เค้าคืออะไร มันยังเป็นความรัก ความห่วงใย ความผูกพันเหมือนเดิมไม๊

เพราะวันนี้เราเจ็บเหลือเกิน

เจ็บในอกมาก ๆ เจ็บเหมือนใครมาควักเอาหัวใจเราออกไปเลย เหมือนจะขาดใจ ทั้ง ๆ ที่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเรานะ เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยกับผู้หญิงหลายต่อหลายคนของเค้า ไม่นานเหมือนเด็กคนนี้หรอก คนนี้คบได้นานมาก ๆ

แล้วเค้าจะเก็บเราไว้ทำไมเหรอ

อยากให้เราเจ็บไปจนตายเลยเหรอ

เจ็บนะ เจ็บมาก ๆ
แต่ไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พิษเศรษฐกิจ



วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบปีนี้เลยก็ว่าได้ที่เราได้ออกไปใช้ชีวิตอยู่นอกบ้าน และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนรอบ ๆ ตัว ซึ่งก็มาจากคนละที่ ความคิดเห็นหลายอย่างก็เลยไม่เหมือนกัน

ก็เลยได้แลกเปลี่ยนทรรศนะคติกันสักนิดเกี่ยวกับชีวิตน่ะ ว่าตอนนี้เราควรจะยึดอาชีพอะไรดี เพราะในปัจจุบันนี้อาชีพอะไรก็น่ากลัวไปหมดแล้ว จริง ๆ แล้วจังหวัดที่ข้าพเจ้าอยู่้เนี่ย ค่อนข้างมีกำลังซื้อสูงเลยทีเดียว แต่พอ makro กับ carrefour มาเปิด ช่วงแรก ๆที่มาเปิดก็ไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ แต่พอระยะเวลาผ่านไปสักพัก ความเงียบเริ่มมีเข้ามาปกคลุมภายในตัวเมืองบ้างเหมือนกัน แต่ก็ยังเล็กน้อย เลยไม่ค่อยมีใครสัมผัสได้

คนที่เค้าเห็นประจำ เค้าก็ไม่ได้เอะใจ ไม่เหมือนเรานี่นา ไม่ได้ออกไปพบปะสมาคมตั้งครึ่งปี ก็เลยออกอาการตกใจนิดหน่อยที่ทำไมอ่ะ คนหายไปไหนหมดเนี่ย

ประมาณเนี้ยแหล่ะ

ก็เลยคุย ๆ กับพวกบรรดาแม่ค้าทั้งหลายดู เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ไปอยู่แต่ที่ห้างใหม่ ในเมืองเราก็เลยเงียบ อืม แบบว่าได้ฟังแล้วก็นั่งมองไปบนถนนอ่ะนะ มันเงียบจริง ๆ อ่ะ

เงียบแบบว่า เหมือนเปลี่ยวเลย ไม่ค่อยมีคนทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะ 6 โมงเย็นเอง

อะไรตอนนี้ก็ขายกันได้ไม่ดีเลย ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน

ใครจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้บ้าง เฮ้อ เห็นแล้วเบื่ออ่ะ ไม่อยากให้เด็กรุ่นใหม่ ๆ ไปฝังติดตัวเองไว้กับค่าความนิยมแบบนั้น จากที่เคยมาออกกำลังกายเล่นกีฬา ก็เปลี่ยนไปเดินห้างแทน

เซ็งอ่ะ

ใครก็ได้ช้วยด้วย

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เหนื่อยไม๊


เคยมีใครถามคำถามนี้กับคุณไม๊
เหนื่อยไม๊

มันเป็นคำถามที่สั้น แล้วก็ง่ายมาก ๆ ด้วยแหล่ะ แต่ไม่ค่อยจะมีใครถามสักเท่าไหร่นักหรอก
มันเป็นคำถามที่ให้กำลังใจกันและกันนะ คือผู้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกดีอ่ะ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีค่า มีคนคอยห่วงใย
คำถามนี้จะเป็นพี่ถามน้อง พ่อถามแม่ เพื่อนถามกันเอง ก็ดีทั้งนั้นแหล่ะ

มันเหมือนกับว่าเราไม่ได้อยู่เดียวดาย ถึงแม้เราจะต้องมาทำงานอยู่ไกลจากบ้าน จากพี่น้อง แต่พอมีใครสักคนถามคำถามนี้กับเรา ความเหงา ความอ้างว้างมันจะหายไปเลยนะ เหมือนว่าเรายังมีใครอีกคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องไปหาใครไกล ๆ หรอกนะ

แค่เราใส่ใจกับคำถามสั้น ๆ นี่แหล่ะจะทำให้มิตรภาพของเรายิ่งแน่นแฟ้น และยืนยาว
เราอยากจะให้คนรอบข้างมาใส่ใจเรา แล้วเราใส่ใจคนรอบข้างรึยัง

ลองถามตัวเองดูนะ

ง่ายๆ แต่เราอาจจะคิดไม่ถึง

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความจริง




หลังจากผ่านไปเกือบ 30 ปี และแล้วก็ได้รู้ความจริง

เราก็สงสัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ นะทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่รักเราเลยอ่ะ ท่านรักแต่พี่ชายกับน้องชายอีก 2 คน แต่พวกป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ ก็บอกนะว่าเป็นเพราะบ้านของเราเป็นครอบครัวคนจีน เค้าก็เลยไม่ชอบลูกสาว เค้าก็จะรักลูกชายมาก ๆ ส่วนลูกสาวเค้าไม่เคยรักเลย ไม่เคยได้รับความอบอุ่น ไม่เคยได้ออกงานสังคม ไม่เคยได้รับการยกย่อง ไม่เคยมีใครรู้ด้วยซ้ำ ว่าเราเป็นลูกสาวของเค้า เราก็ได้แต่คิดว่าสักวัน ถ้าเราทำความดีต่อ ท่านก็คงจะรักเราบ้าง เมตตาเราสักนิด ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เราได้รับกำลังใจจากคนที่ได้ชื่อว่าพ่อกับแม่ในสูติบัตร

พอถึงวันที่เราได้ออกไปจากบ้านใหญ่ ไปเรียนหนังสือเพียงคนเดียวในกรุงเทพฯ ขนาดว่าเรียนดีมาก ๆ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเป็นห่วงเรา ไม่เคยโทรไปหา ไม่เคยไปเยี่ยม ถ้าท่านไปหาพี่ชายหรือน้องชายแต่ก็ไม่ไปหาเรา ไม่เคยไป และจะไม่มีวันไป เราก็คิดว่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น ตอนนั้นเรามีแฟนไง ทีนี้แฟนเราเค้าก็เป็นให้เราได้ทุกอย่าง เค้าเป็นคนที่ดีมาก ๆ เลยนะ รับฟังปัญหาของเราทุกเรื่อง ไม่เคยบ่นว่า มีแต่คอยเป็นกำลังใจให้ พอถึงวันที่เราต้องเลิกกับแฟน วันนั้นคือวันที่เราคิดว่า เราไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ ไม่มีแม้แต่พ่อหรือแม่ หรือบ้านที่จะกลับ

ตามประสาเด็กใจแตกไง ที่ขาดความอบอุ่น คิดแค่ว่า ถึงจะยังไงพ่อกับแม่เค้าก็ไม่เคยรักเรา เราก็จะไปหาคนที่เค้ารักเรา ด้วยตัวเราเอง เราลืมเอะใจคิดถึง "ป้าคนที่เลี้ยงดูเรามา" ตอนนั้นก็เที่ยวนะ หัวราน้ำไปเลย ไมสนใจเรื่องเรียนหรอก ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน ไม่รู้ว่าจะต้องทำเพื่อใคร

ถ้าวันนั้นเราได้รู้เช่นวันนี้ เราจะตั้งใจเรียนเพื่อ "ป้าคนที่เลี้ยงดูเรามา" เราจะไม่ทำให้เค้าเสียใจเลย แต่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้อีกแล้ว เรามีแต่วันนี้กับอนาคต ที่เราจะสามารถเลี้ยงดูแม่ของเรา บุพการีของเรา ที่เราเคยเรียกเค้าว่าป้า ท่านคือแม่ของเรา แม่ที่อดทนทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้มาเลยจนเวลาผ่านไปเกือบ 30 ปี

ลูก ๆ ของพ่อกับแม่น่ะเหรอ ได้ดีกันทุกคน เรียนจบปริญญาตรี มีหน้ามีตาในสังคม มีคนนับหน้าถือตา มีคนยกย่อง ในขณะที่เรากลับได้อยู่แค่ในมุมมืด ในเงาของคนเหล่านั้น

เราเคยรักพวกท่านและครอบครัวท่านมากนะ แต่วันนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว ชีวิตของเราพังพินาศเพราะทิฏฐิของคนเหล่านั้น เราอยากจะตะโกนใส่หน้าพวกเค้าเหลือเกินนะว่า "ถ้าไม่สามารถรักเราได้เหมือนลูก จะไปเซ็นต์ชื่อรับเราเป็นลูกทำไม พวกท่านทำลายชีวิตของเราทำไม ใครไปขอร้องให้พรากครอบครัวคนอื่นเค้าเหรอ แม่ของเราเข้มแข็งกว่าที่พวกท่านรู้จักนะ จนถึงทุกวันนี้พวกท่านก็ยังทำลายเรา"

พวกท่านไม่เคยส่งเสียเราเรียน เราได้เรียนเพราะเงินกงสีของย่า เราต้องตื่นมาช่วยย่าทำงาน กวาดบ้าน ล้างจาน ถูบ้าน ส่งของ ล้างห้องน้ำ ดูแลย่า แล้วลูก ๆ ของพวกท่านทำอะไรกันเหรอ เล่นเกมส์ไง ไปเที่ยวกับเพื่อนไง ทั้ง ๆ ที่อายุเท่ากัน

เราผิดไม๊ที่หมดความเคารพในตัวพวกท่าน บุพการีจอมปลอม

เราขอสาปส่ง จะคิดว่าเราอกตัญญูก็ได้นะ ถ้าคุณ ๆ มาเจออย่างแม่ของเรา แม่ของเราเป็นพี่ใหญ่ที่สุดของครอบครัว ทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงน้อง ส่งเสียน้องจนเรียนจบ แล้วก็ไม่เคยได้ไปสนุกสนาน เฮฮาที่ไหน ต้องอยู่เฝ้าบ้านขายของชั่วชีวิต จนอายุจะ 70 ปีแม่ก็ถูกบีบให้ออกมาจากมรดกของตระกูลชิ้นสุดท้าย ที่ครอบครัวนี้ยังไม่หมดตัว แต่ตัวแม่ของเราเองก็ไม่มีอะไรออกมานะ ในวันที่บ้านแตกสาแหรกขาด เพราะคนเฮงซวยครอบครัวเดียว

พี่น้องทุกคนต้องเดือดร้อน เพราะคนในครอบครัวนี้ ทุกคนบ้านแตกสาแหรกขาดจากที่เคยอยู่รวมกันก็ต้องแยกย้ายกันออกไป แต่ครอบครัวของพวกมันมีบ้านผุดขึ้นมาเยอะแยะ มีทรัพย์สินที่ได้จากการขายทรัพย์มรดก แต่ไม่แบ่งให้ใครสักแดงเดียว

ไม่รู้นะว่าเวรกรรมข้อใด ทำไมถึงทำให้แม่ของเราต้องมาเจอเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้

วันนี้เรารู้ความจริงแล้ว ถึงแม่จะไม่รวยเหมือนเมื่อก่อน แต่เราจะเลี้ยงดูให้แม่มีความสุข ให้แม่ได้รับความอบอุ่นจากลูกหลาน และความห่วงใย เราจะดูแลแม่ของเราที่เลี้ยงเรามาตลอดชีวิต โดยให้เราเรียกท่านว่าป้า ด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่ ให้คนบางคนได้ละอายในสิ่งที่ตนเองได้กระทำกับชีวิตผู้อื่น ชีวิตไม่ใช่ผักปลาที่จะสามารถซื้อมาแล้วอยากจะโยนไว้ตรงไหนก็ได้ เพราะเราก็มีหัวใจ มีความรู้สึก

เราไม่เคยมีปากมีเสียงอะไรเลย เค้าอยากให้เราทำอะไรก็ทำ ไม่อยากให้เสนอหน้าก็ได้ แต่วันนี้เราพอแล้วกับความอดทน กับเส้นด้ายเพียงเส้นเดียวที่จะยึดไว้ด้วยคำว่า "ญาติพี่น้อง" พอกันที

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความรู้สึกของคนเป็นแม่


เคยคิดไม๊ว่าชีวิตของเราเนี่ย น้ำเน่ากว่านิยายในหนังซะอีกนะ

ชีวิตเราก็เป็นเหมือนกัน ยังถามตัวเองจนถึงทุกวันนี้เลยนะว่าทำไมชีวิตของเรามันถึงเป็นแบบนี้ การงานก็ไม่ได้เลิศเลอทำเงินได้มากมาย (อันเนื่องมาจากเรียนไม่จบอะไรสักอย่าง) ความรักก็ออกแนวเฮงซวย (แหมก็ดันท้องนี่นา จะเหลืออะไรให้เลือกอีกล่ะ) ทีนี้เราก็เลยปล่อยให้ชีวิตมันเป็นไปตามทางของมัน ปล่อยไปเรื่อย ๆ เหมือนผักตบชวาที่ลอยอยู่ในคลองนั่นแหล่ะ ไม่อยากฝืนอะไรแล้ว เพราะกลัวไง ยิ่งเราฝืน ก็ยิ่งแย่ อันนี้จะเป็นช่วงความคิดแรก ๆ ตอนที่ท้องลูกชายอยู่นะ

ตอนนั้นรู้สึกว่า ชีวิตของฉันที่เหลืออยู่เนี่ย มันคงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกแล้วแหล่ะ เพราะว่าชีวิตเรามันก็ผ่านอะไรมาหมดแล้ว จุดสูงสุดของชีวิตคนเรา ก็ไปอยู่มาได้พักหนึ่ง จุดต่ำที่สุดก็ไปอยู่มาแล้ว คิดว่าถ้าตอนนั้นตายไปก็คงจะไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว (ขนาดแม่เรา เรายังไม่ได้คิดถึงเค้าเลย)

ขนาดท้องลูกนะ เค้าก็ดีนะไม่ทำให้แพ้เลยแม้แต้น้อย อดทนมาก ๆ ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยร้อน ไม่เคยหนาว อะไรที่ทำไม่ได้ ก็ทำได้ทุกอย่าง คือตอนนั้นทุกอย่างเราต้องท่องไว้อย่างเดียวว่า "อดทน"

แหม! อย่าคิดนะคะว่าทำไมไม่เอาลูกออก ไปลองมาแล้วค่ะ เค้าไม่ยอมออกน่ะสิ ตกขาวเยอะมาก ๆ แต่ไม่ยอมหลุด หลังจากที่ทำแล้วนะก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเค้ารอดอยู่ครบ 9 เดือนแล้วถ้าเกิดมาพิการไปจะทำยังไงดี เครียดมาก ๆ เลยอ่ะ

ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เพราะถ้าเค้าพิการจริง ๆ มันก็เกิดจากสิ่งที่เราทำกับเค้านั่นแหล่ะ

พอเค้าไม่หลุดจริง ๆ เราก็เลยรีบบำรุงเลยนะ นมไวตามิ้ลค์น่ะกินเป็นลังเลยแหล่ะ กับไข่ จะบอกว่าไม่แพ้ก็ไม่ได้นะ เพราะไม่อยากกินอย่างอื่นน่ะ ของมันก็ไม่กิน แต่ไข่นี่กินทุกวันเลย นมไวตามิ้ลค์ กับปลา

ตอนนั้นต้องบอกว่าไม่มีความรู้สึกว่ารักลูกในท้องเลยนะ ไม่รู้สึกว่าผูกพัน หรือว่าจะเลี้ยงเค้าในอนาคตเลย ไม่มีจริง ๆ นะ ก็เลยคิด ๆ เหมือนกันว่าจะทิ้งไว้ให้ พ่อแม่สามีเลี้ยง เราจะได้ไปหางานทำ

ช่วงนั้นก็ต้องอดทนทำในสิ่งที่ พ่อแม่สามีให้เราทำน่ะ เค้าให้เราเลี้ยงควาย ทำไร่ เชื่อไม๊ เราทำได้ เพราะตอนนั้นถ้าเราเลือกมากเราก็จะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนเลยแหล่ะ เราไม่มีความคิดจะกลับบ้านหรอกนะ เพราะเรารู้ไงว่าทำให้แม่เสียใจ ทำให้แม่ต้องเสียหน้า ทำให้แม่ต้องอาย ขนาดว่าจะไปผ่าลูกออกอยู่แล้วนะ ยังอวดดีกับแม่อยู่เลย เราบอกแม่ไปว่า "แม่จะเลี้ยงลูกให้ไม๊" แม่บอกว่า "ไม่เอาหรอก อายเค้า" หลังจากนั้นมา เราก็ตัดแม่ ตัดลูกกับแม่ไปเลยนะ แต่ก็ตัดได้ไม่นานหรอก

พอน้องปิงปองคลอดออกมาเท่านั้นแหล่ะค่ะ

ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดเลยนะ เรารู้สึกว่าเรารักเด็กคนนี้มากเลยนะ ขนาดเราเจ็บแผลผ่าตัดมาก ๆ เรายังต้องลุกขึ้นมาให้ลูกได้ทานนมเลย เราจำได้คืนนั้นเพิ่งจะผ่าน้องออกมา เราก็ยังไม่เจ็บแผลเท่าไหร่ เพราะยังมีฤทธิ์ยาอยู่ แต่พอเช้าขึ้นมานี่สิ โห! มันแบบว่าปวดมาก ๆ เลยอ่ะ กระดิกไม้ได้เลย แล้วลูกก็นอนอยู่ข้าง ๆ บนเตียงเดียวกันอ่ะนะ (เกิดโรงพยาบาลรัฐบาล ใช้สิทธิ์บัตรทอง เงินจะไปคลอดลูกยังไม่มีเลย) แต่เค้าไม่ร้องนะ เค้าหิว แต่เค้าไม่ร้อง รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ เค้าก็ดิ้นยุกยิก ๆ อยู่ข้าง ๆ ไง แหมเราก็เจ็บนะ ลูกก็ดิ้นไม่หยุดเลย ทำไงล่ะทีนี้ นึกคำพูดของหมอที่เคยผ่าตัดพี่สาวเค้าบอกเอาไว้ว่า "ถ้าอยากหายเจ็บแผลเร็ว ๆ เราต้องรีบเดินให้เร็วที่สุด" ก็เลยขอมอร์ฟีนจากพี่พยาบาล พี่เค้าก็เอามาให้นะ พอได้มาก็กระซิบบอกลูกว่าเดี๋ยวแม่มานะครับ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเลยนะ เดินไปห้องน้ำ แล้วเดินกลับมา มันหายเจ็บจริง ๆ ด้วย อันนี้ไม่แน่ใจนะ เพราะยาหรือเพราะรักลูก

เพราะถ้าเรายังเจ็บแผลอยู่ลูกของเราเค้าก็จะไม่ได้กินนม คิดได้อย่างนั้น แผลไม่เจ็บเลยอ่ะ ไม่มีความเจ็บเลยด้วย อันนี้แอบนินทาเตียงข้าง ๆ นะ ลูกร้องลั่นเลย เพราะหิวนม แต่ไม่ลุกไม่ได้ เจ็บแผล เราก็เลยหันไปดู ถามเค้าว่าเจ็บมากไม๊ เค้าบอกว่าเจ็บมาก ทีนี้เราก็เลยมานั่งนึกว่า "เอ๊ะ ตัวเราเองนี่ก็ผ่า ทำไมเจ็บวะ" นึกอยู่ครึ่งวัน ถึงบางอ้อเลยอ่ะ "ลูกไง" แหมตอนใกล้คลอดบอกว่าจะทิ้งนะ แต่พอคลอดเสร็จแล้ว ดุกว่าจงอางหวงไข่อีกอ่ะ

สำหรับเรานะ ลูกเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจ ให้เราได้สำนึกถึงความรู้สึกของแม่
ลูกทำให้เราใจเย็นลงมาเยอะ ลดทิฏฐิมากเลยนะ
เราเคยเป็นลูกอกตัญญูมาก่อน แต่ทุกวันนี้เราจะทำทุกอย่างเพื่อทดแทนคุณของแม่เราให้ได้มากที่สุด อะไรที่เราเคยทำให้เค้าช้ำ เค้าเจ็บ เสียใจ หรือว่าเสียหน้า เราก็พยายามจะทำให้เค้าภาคภูมิใจในตัวเรา ในสิ่งที่เราเป็น และทุกอย่างที่เราทำ เราอยากให้แม่ของเราได้เห็นเราประสบความสำเร็จก่อนที่ท่านจะจากไป เราจึงพยายามไง

ถึงวันนี้เราจะลำบาก เราเพิ่งจะเริ่มต้นใหม่ตอนอายุใกล้ 30 แล้ว เรามีภาระต้องรับผิดชอบ แต่สำหรับเราแล้ว แม่ไม่เคยเป็นภาระอะไรเลย แม่ไม่เคยทำอะไรให้เราไม่สบายใจ (ยกเว้นเวลาที่ท่านไม่สบายอ่ะนะ) แม่ของเราให้เรามาทั้งชีวิตแล้ว แม่ของเราปกป้องเรามาทั้งชีวิตแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เราทำจะถูกหรือผิด เราจะโกหกแม่อีกสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง แม่ก็รู้ แต่แม่เชื่อในทุกสิ่งที่เราพูด วันที่เราล้มแม่อยู่เคียงข้าง วันที่เราเจ็บแม่ก็ยังอยู่ข้าง ๆ แต่ถ้าถามกลับไปวันนั้นวันที่เราทำให้แม่เจ็บ ไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ แม่เลย ไม่เคยมีใครมาทำให้อะไรให้แม่ของเราเสียใจได้ เพราะแม่ของเราไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยอิจฉาใคร ไม่เคยอยากได้ของ ๆ ใคร แต่เรากลับทำให้แม่เสียใจได้นานเป็น 10 ปี เราถือว่าสิ่งที่เราทำวันนี้ มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเลยอ่ะ ไม่มีอะไรเลยที่แม่อยากได้ เพราะแม่บอกว่าเรายังไม่พร้อม
เราก็เลยคิดว่า เมื่อไหร่เราถึงจะพร้อมล่ะ คิดนะ คิดตามสิ่งที่แม่พูด ก็เลยได้รู้ไง คำว่าพร้อมน่ะ มันมาไม่ถึงหรอก เพราะตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ ความอยากของเราไม่มีวันสิ้นสุด พอเราได้ในระดับที่เราเคยได้ เราก็จะอยากได้มากขึ้น มากขึ้น มันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่เราตาย เราก็เลยได้คำตอบแล้วไง เราพร้อมสำหรับแม่แล้ว วันนี้แหล่ะที่เราพร้อม


ต้องบอกว่าทุกวันนี้เป็นคนขึ้นมาได้เพราะเ้ด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้นแหล่ะ
ต้องขอบคุณน้องปิงปองที่ทำให้แม่ มีจิตสำนึก
ต้องขอบคุณน้องปิงปองที่ทำให้แม่รักแม่
ต้องขอบคุณคุณกัลยาณีที่คอยให้โอกาสลูกคนนี้ตลอดมา
ต้องขอบคุณคุณกัลยาณีที่ให้โอกาสลูกทดแทนบุญคุณ

ทุกวันนี้ พอเรามีจิตสำนึกในพระคุณของแม่ อะไรหลาย ๆ อย่างมันจะละเอียดมากขึ้นนะ เหมือนเราได้เห็นภาพเดิม แต่ความละเอียดมันมากขึ้น อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เราสามารถรับความรู้สึกนั้นได้อ่ะ

เรามีความคิดในการสอนลูกอย่างนี้นะ คือเราต้องทำให้เค้าดูเป็นแบบอย่างก่อน ว่าสิ่งที่เราให้เค้าทำ เราก็ทำเหมือนกัน

เรามีความอดทนได้ เพราะลูกชายคนเดียว มันก็คงจะเฉกเช่นเดียวกับแม่ของเราที่ท่านไม่เคยหมดความอดทนกับเราเลย หลายครั้งที่เราขึ้นเสียง หลายครั้งที่เราชอบเถียง หลายครั้งที่เราบังคับท่าน แต่เราก็รักท่านนะ รักมาก ๆ ด้วย

เราจะทำให้ทุกวันที่เราได้อยู่กับแม่มีคุณค่า เพราะแม่ไม่ค่อยได้อยู่กับเรา แม่ต้องทำงาน ทุกวันนี้แม่จะ 70 แล้ว แม่เพิ่งจะหยุดทำงาน ต้องขอบคุณฟ้าที่ประทานโอกาสให้แม่ได้พักผ่อน และให้เราได้มีโอกาสดูแลแม่ของเรา

เราลองมองกลับกันดูสิ เรารู้สึกยังไง แล้วเราจะรู้

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แม่




เคยมีคนพูดว่า
"ท้อได้ แต่อย่าถอย"
ตอนที่เราได้ฟังนะ
"อืม ความหมายของเค้าดี"
แต่ถ้าถามเราในใจเรารู้สึกดีตามคำพูดนั้นไม๊
บอกให้ฟังเลยว่าไม่
ถามหน่อยเถ่อะ
"ถ้าพรุ่งนี้ มันไม่มีอนาคตไว้สำหรับเราแล้ว"
คำ ๆ นี้ฟังแล้วมีความหมายอะไรไม๊
ต่้อให้มีคำพูดอื่นที่ดีกว่านี้อีกหลายร้อยหลายพันเท่า
เชื่อได้เลยว่า ไม่มีใครฟังแล้วรู้สึกมีกำลังใจหรือว่าซึ้งไปกับคำ ๆ นั้นหรอก
ถ้าเราไม่ได้หลอกตัวเองอ่ะนะ
แหม เ็ห็น ๆ อยู่แล้ว ว่าอนาคตมันมืดมนมาก ๆ เลย
ยังมาบอกอีกนะว่า "ท้อได้ แต่อย่าถอย"

ขนาดว่าเราผ่านอะไร ๆ ในชีวิตมาก็เยอะนะ
มีประสบการณ์เพียบในทุก ๆ ด้านเลยแหล่ะ
แต่พอมีความสบายเข้าหน่อย
ลืมระมัดระวังตัวไป
พอรู้สึกตัวอีกที
เฮ้อ ลำบากอีกแล้ว

ไหงชีวิตเราต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยเลยนะ
ดีได้ ปีเดียว ลำบากไปอีก 5 ปี
เซ็ง
ไปดูดวงมาก็หลายที่นะ
มีแต่คนบอกให้ปลื้มทั้งนั้นเลยว่า ดวงแบบนี้จะรวย
โห รวยมาก ๆ เลย รวยจนไม่เหลืออะไรเลย
ไม่รู้เค้าเรียกรวยแบบไหน
ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะรวยเลยอ่ะ

แต่ไม่เป็นไร
ช่วงนี้ถือคตินี้
ถ้าไม่ตาย หาใหม่ได้

ตอนนี้ก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานของเราไปเรื่อย ๆ
ทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้
ขนาดว่าเป็นคนที่คิดดีกับทุก ๆ คนนะ ไม่เว้นแม้กระทั่้งหมา แมว
ไม่เคยคิดร้ายอะไรกับใครเลย
ถ้าลองหันไปดูคนรอบข้างสิ แหมบางทีหมั่นไส้หมา ยังเตะเลย

ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันนะ
สงสัยจะเป็นจริง เหมือนที่พุทธทำนายที่ว่า
ช่วงที่เราเกิดเนี่ยเป็นช่วงสุดท้ายของพระำพุทธศาสนาแล้ว เวลาทำความดีอะไรก็แล้วแต่นะ มันทำยากมาก ๆ เลย มีอุปสรรคร้อยแปดพันประการ แต่ถ้าลองให้ทำความชั่วสิ สักอย่างเดียว โห! ทำไมมันง่ายอย่างนี้ล่ะ
เป็นแบบนี้ เจอบ่อยแล้ว
เจอจนบางทียังคิดเลยนะ
เฮ้! ถ้าเราทำความดีแล้วมันลำบาก จะทำไปทำไมเนี่ย

ไม่รู้หรอกนะว่าพรุ่งนี้จะมีกินไม๊
ไม่รู้หรอกนะว่าพรุ่งนี้จะอยู่ยังไง
ไม่รู้หรอกนะว่าค่าใช้จ่ายเดือนหน้าจะเอามาจากไหน
ไม่รู้หรอกนะว่าทางข้างหน้ามันจะมีไม๊
รู้แค่วันนี้ขอทำความดีให้เต็มที่

ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำแล้วเราสบายใจก็ทำไป ทำแล้วไม่เดือดร้อนก็ทำไป
การเลี้ยงดูบุพการีบางทีมันก็ยากมาก ๆ เลยนะ (อันนี้เลยไม่แปลกใจว่าทำไมเค้าถึงพาบุพการีไปอยู่บ้านพักคนชราซะเยอะ)
ตอนที่เค้าเลี้ยงดูเรามา เหมือนมันง่ายนะ อยากได้อะไรก็ได้ อยากไปไหนก็ได้ไป ไม่เคยมีคำว่าไม่ได้ อะไรก็รู้สึกง่ายไปซะทุกอย่าง อันนี้เป็นคำตอบที่เราคิดเอาเองนะ ไม่รู้ว่าใช่รึเปล่า
เพราะตอนนั้นเราเป็นผู้ได้รับไง เราไม่ได้เป็นผู้ให้ อยากได้อะไรก็มีแต่คนหามาให้
"แม่หาให้ลูกได้ทุกอย่าง ถ้าไปเอาดาวเอาเดือนมาได้ก็จะไปเอามาให้อ่ะนะ ถ้าลูกต้องการ"
แต่ในวันนี้เราต้องเป็นผู้ให้ ซึ่งมันก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ แหล่ะว่ามันลำบากกว่าตอนเป็นผู้รับมาก แล้วความรู้สึกที่ลูกจะรักแม่เท่ากับที่แม่รักลูกน่ะ มันไม่เท่ากันนะ
แม่รักลูกมากกว่า ลูกรักแม่
อันนี้เป็นเรื่องจริง ประสบการณ์จริง อย่างเรามีลูกถามว่าเรารักลูกเรามากไม๊ ตอบได้เลยว่า มาก มากกว่าชีวิตของเราเองซะอีก แต่ถ้าถามว่ารักแม่ไม๊ คำตอบที่ได้ก็คือ รัก แต่รักน้อยกว่าลูก

เราก็ลองคิดกลับกันดูสิ ว่าถ้าเราเป็นแม่ เราอยากให้ลุกทำอะไรให้เราตอนที่เราแก่ คิดได้ดังนั้น เราก็รีบ ๆ ทำให้กับแม่เราซะ มันเหมือนกับให้เราเอาความรู้สึกของเราไปใส่ไว้ในความรู้สึกของเค้าน่ะ ว่าท่านจะรู้สึกยังไง ถ้าเราทำแบบนี้ แบบนั้น หรือจะเป็นยังไง จะเหงาไม๊ จะทานข้าวรึยัง ถ้าเราไม่อยู่บ้าน

แต่สำหรับข้อนี้ ต้องบอกก่อนนะ คนที่จะทำได้เนี่ย ต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นซะก่อนนะจ๊ะ

เพราะเคยเป็นไง แต่ตอนนี้แก้หายแล้ว 55555555

ยกระดับความเป็นคนขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ เมื่อก่อนนี้ออกแนวค่อนข้างเลวเลยแหล่ะ ไม่เคยสนใจหรอก แม่จะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด คอยชะเง้อมองหาลูก (ตอนส่งไปเรียนต่อน่ะ) แต่ลุกนะ ไม่เคยรู้หรอกนะว่าแม่จะรู้สึกยังไงบ้าง สนใจแต่ความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ เชื่อไม๊ว่า แม่ของเราเหมือนว่าท่านจะตรอมใจอ่ะ ทานอะไรก็ไม่ค่อยได้ ทานอะไรก็ไม่อร่อย แบบว่าแม่ไม่หิวอะไรเลยอ่ะ ทานได้วันละนิดวันละหน่อย แต่ถ้าถามเราตอนนั้นว่ารู้ไม๊ที่แม่เป็นแบบนี้ รู้แต่ไม่สนใจ

ทุกวันนี้ต่างกับวันนั้นแบบหน้ามือกับหลังตีนเลยแหล่ะ เราจะต้องดูแลท่านก่อนนะ ไม่อยากให้แม่เจ็บ ไม่อยากให้แม่ปวดอีกต่อไปแล้ว เราล้างเท้าให้แม่ แล้วเอาเท้าแม่มาวางไว้บนหัวเรา บ่อยนะ เพื่อให้ท่านขออโหสิกรรมให้ ในทุกสิ่งที่เราเคยทำกับท่านเอาไว้ สงสารแม่น่ะ แต่มันเป็นเหมือนปฏิกิริยาอัตโนมัติของความรักที่แม่จะมีให้ลูกน่ะ พอห่วงลูกมาก ๆ ก็พาลจะกินข้าวไม่ลง พอห่วงบ่อย ๆ เข้าทีนี้ก็เลยไม่รู้จักความหิวเิอาซะเลย

เฮ้่อ แค่คิดนี่ก็บาปมากเลยนะที่ทำให้แม่เป็นแบบนั้น ทีเราสามารถกลับมาเป็นคนได้ทุกวันนี้ก็เพราะลูกของเราไง เพราะเค้าทำให้เรารู้สึกถึงคำว่า "กฎแห่งกรรม" มันมีจริง ลูกร้อง เราร้องตาม ทีนี้เราก็เลยกลับไปคิดถึงแม่เราในวันที่เราร้องไห้ แม่ก็ร้องตามเหมือนกัน แต่คนที่เค้าหักอกเราน่ะ เค้าร้องไห้ให้เราไม๊ เปล่าเลย มันไปดี๊ด๊าอยู่ที่อื่น มันไม่เคยรู้หรอกนะว่าเราเจ็บปวดแค่ไหน จะเป็นจะตายมากเลยกับผู้ชาย

แต่พอดีว่าตอนนั้นลืมไปไงว่า ทุกครั้งที่เราร้อง แม่ก็ร้องกับเรา เหมือนกับวันนี้ ทุกครั้งที่ลูกเจ็บ เราก็เจ็บมากกว่าที่ลูกเจ็บอีกอ่ะ อันนี้ไม่รู้เป็นเพราะ "กฎแห่งกรรม" มันตามมาทัน หรือว่าเป็นเพราะเราเป็นคน sensitive ก็ไม่รู้้เหมือนกัน

พอคิดกลับไปกลับมามาก ๆ ก็เลยได้ข้อสรุป

เพราะเรากลัวไง กลัวว่าลูกจะทำกับเรา เหมือนที่เราได้ทำกับแม่เอาไว้น่ะ มันคงจะแสบเข้าไปถึงในทรวงเลยแหล่ะ ที่เอามาเล่าให้ฟังเนี่ย ไม่ได้อยากจะให้มองว่าเราเป็นคนดีหรอกนะ แต่อยากจะบอกให้รู้ไว้ว่า ทุกวันนี้ที่ทำความดี เพราะกลัวเวรกรรมมันตามมาทัน จากที่ลอง ๆ อ่านจากหลาย ๆ ที่ดูอ่ะนะ เค้าบอกว่า กรรมดีอยู่ส่วนกรรมดี กรรมชั่วอยู่ส่วนกรรมชั่ว เราไม่สามารถทำความดีมาลบล้างความชั่วที่เราเคยทำเอาไว้ได้ แต่มันอาจจะเบาบางลงได้บ้าง หากคู่กรณี (แม่) ของเราเองอโหสิกรรมให้ พอรู้นะ รีบวิ่งแจ้นไปผสมน้ำอุ่นมาล้างเท้าแม่เลยแหล่ะ

ที่เราต้องลำบากทุกวันนี้มันก็มีส่วนมากจากผลกรรมที่เราเคยทำให้บุพการีต้องเสียใจไง บาปแค่ไหนก็คิดเอาละกันนะ แม่ถึงกับทานข้าวไม่ลงเลยอ่ะ แค่นี่ที่เราได้รับเนี่ย ถือว่ายังไม่หนักหรอกนะ ถ้าเทียบกับสิ่งที่เราทำกับแม่ไว้ เราปล่อยแม่ไว้เกือบ 10 ปีที่ท่านทานอะไรไม่ค่อยได้น่ะ พอมีลูกแล้วก็ยังคิดไม่ได้หรอก มีทิฏฐิเยอะ

พอเวลาผ่านไป คนเราก็เปลี่ยนไปน่ะสิ ยิ่งกลัว ๆ เวรกรรมด้วย

แม่ของเราเป็นผู้ให้เสมอมา
แม่ของเราไม่เคยว่ากล่าวใคร
แม่ของเราไม่เคยบอกว่าลูกตัวเองดี
แม่ของเราไม่เคยอิจฉาใคร
แม่ของเราเป็นผู้เสียสละที่สุดในครอบครัว
แม่ของเราเป็นพี่ใหญ่ที่สุดในครอบครัว
ทุกวันนี้
แม่ของเราก็ยังเป็นผู้ให้ ให้โอกาสให้ลูกได้ตอบแทนบุญคุณไง
ให้โอกาสลูกคนนี้ได้แก้ตัวในสิ่งชั่ว ๆ ทุกอย่างที่เคยทำไว้กับแม่
พระคุณแม่ของเรานะ ทดแทนยังไงก็ไม่หมดหรอก จากวันนี้ไปจนชั่่วชีวิตของท่านที่เหลืออยู่
เราจะดูแลท่านให้ดีที่สุด เราจะรักท่านให้มาก ๆ
เราจะเป็นผู้ให้....
ให้ท่านได้สบายใจ
ให้ท่านได้มีความสุข
ให้ท่านได้รับความรักจากหลาน
ให้ท่านได้รับความรักจากลูก
ให้ท่านรู้สึกอบอุ่นเวลาที่อยู่บ้าน

ถึงคนอื่นจะไม่เห็นค่าความสำคัญของแม่ในทุก ๆ สิ่งที่แม่ได้ให้เค้าไป
ถึงเราจะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนแม่นะ
แต่เราจะทำให้แม่ของเรามีความสุขด้วยครอบครัวเล็ก ๆ ที่เรามี
เราสัญญา

ต้องขอบคุณลูกของเรานะ ที่ทำให้เราได้รู้ว่า "ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน"
ขอบคุณนะครับ น้องปิงปองของแม่

เรารักแม่ของเรา
เรารักแม่ของเราทุกวัน
และเราจะรักแม่ของเราตลอดไป

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความรักและความอดทน






อยากถามหลาย ๆ คนว่า เคยอดทนกับใครสักคนหนึ่งไม๊
คนที่เราคิดว่า "เรารักเค้า"
เคยไม๊ที่ต้องเปลี่ยนตัวเองไปเพื่อเป็นคนที่เค้าชอบ
เคยไม๊ที่ต้องเปลี่ยนตัวเองไปเป็นผู้หญิงแบบที่เค้าปลื้ม
เคยไม๊ที่ไม่กล้าแสดงออกในสิ่งที่เราคิดจริง ๆ

ถ้าคำตอบของคุณมีคำว่า เคย หรือ ใช่

นั่นแสดงว่า ความรักครั้งนี้ของคุณมันคงจะไม่ใช่ความรักอีกแล้วแหล่ะ
เราเคยแนะนำคนอื่น ๆ นะว่า
หากคุณต้องการจะคบกับใครสักคนหนึ่ง
คุณต้องแสดงตัวตนในแบบที่คุณเป็นให้กับคน ๆ นั้นได้รู้
ว่าตัวคุณเป็นแบบไหน และคน ๆ นั้นสามารถรับคุณได้แค่ไหน
เพราะมันเป็นการแสดงออกด้วยความจริงใจไงล่ะ
เนื่องจากถ้าเกิดการคบกันมันยาวนานกว่าที่คุณคิดไว้
คุณจะได้ไม่ต้องเสแสร้งหรือว่าหลอกลวงคน ๆ นั้นของคุณ
คุณจะได้ไม่ต้องอดทนไง

เรากำลังเป็นอยู่นะ
เราเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนที่เราคิดว่า "เรารักเค้า"
หรืออาจะเป็นเพราะว่า "เค้าเป็นพ่อของลูกเรา"
เรารู้สึกว่าความอดทนมันเหลือน้อยมากเลยนะ
เราไม่สามารถคุยกับเค้าได้อย่างเปิดอก ไม่สามารถไล่เลียงหรือแจกแจงที่มาของสาเหตุได้
บางทีเรารู้สึกเหมือนใจจะขาดเลยนะทุกครั้งที่เรารู้ว่าเค้ากำลังติดต่อกับใครคนหนึ่งอยู่
ซึ่งระยะเวลาการคบหากันทางโทรศัพท์มันก็นานพอควรแล้วแหล่ะ
ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่
เรารู้มาตลอดเลยนะ แต่ถามว่าเราทำอะไรได้ไม๊
เราบอกเลิกเค้า บอกให้เค้าไปจากชีวิตของเรา
แต่มันเหมือนกับคำพูดของเรามันไม่มีน้ำหนักพอ หรือเพราะเราไม่เคยทำอะไรจริงจังกับเรื่องแบบนี้เลย
เราไม่อยากให้ลูกต้องเห็นน้ำตาของเรา
แล้วถามเราว่า
"แม่จ๋า แม่ร้องไห้ทำไม"
"ใครทำแม่เหรอ"
"แม่เจ็บมากไม๊"
"แม่เป็นแผลตรงไหนเหรอ"
"เดี๋ยวหนูเป่าให้นะ"
เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดปลอบใจจากลูกชายตัวน้อยของเรา อายุเค้าแค่ 4 ขวบกว่าเองนะ

เรารู้นะว่าเราไม่เข้มแข็งพอ เหมือนตอนนี้เรากำลัวทำร้ายลูกไปพร้อม ๆ กับตัวเราเลยแหล่ะ
ทุกครั้งที่เราร้องไห้
เรารู้สึกเหมือนลูกรับรู้ได้ทุกอย่างเลย
เราไม่อยากทำร้ายลูกเลย
เรารักเค้ามากนะ
มากยิ่งกว่าดวงใจ มากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เราไม่อยากให้ความไม่เข้มแข็งของเราทำร้ายลูก
เราควรทำยังไงดี

เราเคยโทรไปคุยกับผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เคยโทรไปด่า แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงการโทรหากัน เป็นวันที่ไม่ใช่วันหยุดเค้า
แล้วเราล่ะ เราเป็นใคร
เราโง่มากเลยใช่ไม๊
หรือเราแกล้งโง่ เพื่อจะให้คำว่า "ครอบครัวของเราสมบูรณ์"

เชื่อไม๊ว่ายิ่งเราทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกอย่างก็ยิ่งเลวร้ายลง
เราไม่ต้องพูดออกมาหรอกนะ แต่ความรู้สึกที่เราเคยมีให้ผู้ชายคนนี้
มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เราไม่รู้สึกว่าเรารักเค้าแล้ว
เราเริ่มมองเห็นว่า ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา
เค้าไม่เคยเป็นผู้นำครอบครัวเลย
เค้าไม่เคยดิ้นรนให้ได้มาซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง

เคยเจอไม๊ที่แบบว่าอยากได้ แต่ไม่พยายาม
หาแต่ภาระมาใส่ไว้ที่คนอื่นน่ะ

เราอาจจะยังรักเค้าอยู่ใช่ไม๊
เราถึงไม่สามารถตัดเค้าให้ออกไปจากชีวิตของเราได้
เราควรทำยังไงดี
บางทีมันปรี๊ดมาก ๆ เลยนะ แบบว่าอยากจะฉีกมันสองคนออกเป็นชิ้น ๆ เลย
อยากจะรู้ว่าใจของพวกเค้าทำด้วยอะไร

เราไม่เข้าใจ ถ้าพวกเค้ารักกันมาก
ทำไมไม่ไปอยู่ด้วยกันซะล่ะ
เราไม่ได้ผูกมัดอะไรเค้าไว้นะ ทะเบียนสมรสเราก็ไม่มี เค้าสามารถไปได้ตลอดเวลาที่เค้าต้องการ
แต่ทำไมเค้าไม่ไป เค้าอยากจะให้เราขาดใจตายไปเลยหรือไง

เหมือนใจของเราจะขาดจริง ๆ นะ
บางทีเราก็แกล้งทำเป็นลืม ๆ ไปว่าเค้านอกใจ แต่บ่อยครั้งนะที่มันเข้ามาทำให้เจ็บยอกในอกไปหมดเลย เราไม่สามารถร้องไห้ ให้แม่กับลูกเห็นได้หรอก เราสงสารเค้า เราไม่อยากให้เค้าเสียใจ เราไม่อยากให้เค้ารู้ว่าเราทรมาน

ความรักมันไม่สามารถจำกัดนิยามได้จริง ๆ ใช่ไม๊
ความรักแบบของเรา มันอาจจะเป็น คู่เวรคู่กรรมกันก็ได้ ยิ่งเราเจ็บ เค้ายิ่งมีความสุข
ทุกวันนี้เรายึดพระพุทธศาสนานะ
แผ่เมตตา ขออโหสิกรรม เผื่อว่าสักวัน เราอาจจะเจอทางสว่างบ้างก็ได้
พยายามจะสวดมนต์ให้ได้บ่อย ๆ ใจเย็นลงได้นะ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ เพราะเรื่องแบบนี้ เราต้องคุยกันทั้งสองคน ต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย เราขอเลิกฝ่ายเดียวไม่เป็นผลน่ะสิ

เราอยู่กับเค้ามาแบบนี้ 6 ปีแล้วนะ
6 ปีแล้วที่เราตัดเพื่อน ตัดสังคม ตัดการมีทติ้ง ตัดทุกอย่างที่จะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์
เราหวงแหนคำว่า "ครอบครัว" มากนะ
เราพยายามคิดว่า มันจะต้องดีขึ้น
"ทุกอย่างมันจะดีขึ้น"
"พรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้"
เรารอคำว่าที่เค้าบอกว่า "เค้ากำลังเคลียร์ทุกอย่างอยู่" แต่เมื่อเช้าสายของผู้หญิงคนนั้นยังโอนมาหาเราอยู่เลย

55555
นี่แหล่ะ "รสชาติของชีวิตใช่ไม๊"
ความอดทนของเรา จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นใช่ไม๊
เค้าจะสามารถปรับปรุงตัวเองได้ไม๊
ความอดทนของเราจะสูญเปล่าไม๊
ความอดทน 6 ปี มันคงไม่นานหรอก ถ้าต้องเทียบกับ ความอดทน "ตลอดชีวิต" จริงไม๊

บางทีเค้าไม่ได้กลับบ้าน เราเหงานะ แต่มันเหมือนว่าเรามีอิสระ
เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
การพูดความจริงมันยากมากเลยเหรอ
ทำไมเค้าไม่สามารถเลือกได้ล่ะ ว่าจะเอายังไง
ทำไมเค้าทำร้ายเราแบบนี้
ทำไมเค้าเกลียดเรามากเลยเหรอ เค้าถึงไม่สามารถปลดปล่อยพันธนาการระหว่างเราได้

เราก็ยังเฝ้าแต่ภาวนานะ
ความอดทนของเราจะต้องเป็นผลขึ้นมา
ความอดทนของเราจะคุ้มค่า
เค้าจะสามารถเปลี่ยนตัวเองได้
ถ้าไม่เพื่อเรา ก็เพื่อลูก

เราเป็นคนโง่ใช่ไม๊
โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่
โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่
โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่ โง่

เราจะสามารถผ่านทุกอย่างไปได้ใช่ไม๊
เราจะใช้ความอดทนทั้งหมดที่มี เอาชนะทุกอย่างไปได้ใช่ไม๊
ใช่ เราทำได้
เราอาจจะรักเค้าจริง ๆ ก็ได้จริงไม๊

นี่เป็นเรื่องจริง จากผู้หญิงคนหนึ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การรอคอย

เพื่อน ๆ เคยรู้สึกบ้างไม๊ว่าเราการที่เราจะรอคอยใครสักคนหนึ่ง
มันเหมือนกับ การรอคอยนั้น ช่างทรมานเหลือเกิน
เราก็ต้องรอเหมือนกันนะ
แต่เราไม่อยากทำให้การรอคอยนั้นมันทรมาน
เราจึงไม่พยายามคิดว่าเราต้องรอ
ปล่อยให้เวลาพาเราไปเจอเรื่องสนุก ๆ มากมายหลายแบบ
อย่าปล่อยให้เราต้องเศร้ากับเรื่องที่เป็นความทรงจำ

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สิ่งดี ๆ ที่เราแบ่งปันได้


บางครั้งการทำความดี คงไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไปนะคะ

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่ทราบ

แค่เรารู้สึกดี ไม่คิดร้ายกับใคร ไม่มีจิตริษยาใคร หรือไม่แม้กระทั่งการพูดโกหก เหล่านี้ก็ืถือว่าเราทำความดีแล้วนะคะ

ลองคิดดูสักนิดละกัน

วันนี้คุณทำความดีรึยัง

สิ่งที่เราบอกกับลูกทุกครั้งที่ลูกไปโรงเรียน แล้วเค้าจะต้องร้องไห้ เพราะเพื่อน ๆ ในโรงเรียนของลูกจะเป็นเด็กที่เรียนเก่งพอสมควร และมีพัฒนาการที่ดี ซึ่งลูกเราจะเป็นปมด้อยมากนะ
ทุกเช้าเราจะบอกกับเค้าว่า "แม่ไม่ต้องการเห็นลูกเป็นคนเก่ง แต่แม่ต้องการเห็นลุกเป็นคนดีของสังคมเท่านี้ก็พอแล้ว"

ซึ่งพอหลัง ๆ มาเค้าก็จะไม่ค่อยร้องไห้แล้วนะ อาจจะเป็นเพราะว่าเค้าไปโรงเรียนแล้วเค้าไม่สามารถทำในสิ่งที่เพื่อน ๆ ทำได้ หรือเค้าอาจจะทำได้ไม่เหมือนเพื่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เราสามารถบอกลูกของเราให้เค้าเชื่อมั่นได้ด้วยตัวเราเองนะว่าไม่เป็นไรหรอก ถึงลูกจะไม่เก่งเหมือนใคร แต่เราก็รักลูกของเราเท่าเดิม

การสอนลูกให้เป็นคนดีของสัมคมนั้น



เราเองก็ยังไม่สามารถตอบได้นะ ว่าลูกของเราเค้าจะเป็นเด็กดีของสังคมแค่ไหน แต่ทุกวันนี้สิ่งที่บอกให้ลูกทำ

ก็จะมีการเคารพผู้ใหญ่ การอ่อนน้อมถ่อมตน การพูดจา และมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ

เด็กอายุแค่ 4 ขวบกว่า ๆ เองอ่ะ แต่เวลาจะให้ไหว้ผู้ใหญ่ เราจะต้องมีไม้หรือไม่ก็ต้องคอยขู่เค้า ให้เค้าทำ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไม

แต่พอเราทำให้เค้าดู ว่าเราก็ทำ ปรากฎว่าเค้าทำตามเลยนะ เอาแบบว่าเรียบร้อยเลยแหล่ะ

ทีนี้พอลองนึกข้อนี้ออก เราก้เลยเริ่มชวนลูกทำกิจกรรมด้วยกัน ไม่ว่าจะไปทำบุญที่วัด หรือไปใส่บาตรตอนเช้า ไปให้อาหารปลา ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่าง ๆ ก็จะพาลูกไปด้วยนะ

หรือบางทีเวลาที่เราไหว้พระ เค้าก็จะมาไหว้ด้วย

อย่างนี้อาจจะเป็นการฝึกฝนเค้าไปไนตัวก็ได้นะ ให้เค้ารู้จักทำในสิ่งที่เราเองผู้เป็นแม่ก็ทำเหมือนกัน

เค้าจะได้ไม่ต้องถามตัวเองไง ว่าแล้วทำไมไม่เห็นแม่ทำเลย

อันนี้เป็นเรื่องที่อยากเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังมากกว่า

เด็ก ๆ ต้องการความอบอุ่นจากอ้อมกอดของแม่ มากกว่าเงินตรานะคะ

ลองดูสิ แล้วจะรู้

ถ้าเราไม่ค่อยมีเวลามาก ต้องทำงานล่ะก็

ก่อนนอนลองกอดลูกสักครั้งสิคะ แล้วจะรู้สึกว่ามีไอ้ที่เหนื่อยมาแทบจะขาดใจน่ะ หายไปเป็นปลิดทิ้งเลยนะ

ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าเราจะรักลูกได้มากขนาดนี้

แล้ววันหลังจะมาเล่าให้ฟัง

เราน่ะไม่น่าจะเป็นคนที่รักลูก และหลงลูกได้มากขนาดนี้หรอกค่ะ

ไว้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนะคะ

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มองหาสิ่งดี ๆ ที่เราเรียกว่ามิตรภาพ




เราเคยใช้คำว่ามิตรภาพบ่อยมากเลยนะในสมัยก่อน (สมัยก่อน แปลว่า สมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่ อาจจะเป็นวัยรุ่น หรือประถม หรือมัธยม ประมาณนั้น)
ลองหันมาดูคำว่ามิตรภาพสมัยนี้กันหน่อยไม๊ ว่ามันเป็นยังไง

เราคงต้องลองถามตัวเองก่อนนะว่าเคยให้มิตรภาพ กับใครมาก่อนรึเปล่า แล้วเราใช้คำ ๆ นี้เปลืองแค่ไหน หลังจากที่เรารู้สึกว่าเราใช้มันเปลืองมาก ๆ เลย นั่นแปลว่ามิตรภาพของเรานั่นมันคงไม่ใช่ของแท้และแน่นอน

เราอยากลองให้นิยมของคำว่ามิตรภาพดูนะ ไม่รู้ว่ามันถูกผิดแค่ไหน แต่ที่ให้คำนิยามนี้มันมาจากความรู้สึกที่เรามีต่อคำว่ามิตรภาพ

คำว่า มิตรภาพ เป็นเหมือนการมีความจริงใจในการคบหากัน และมีความรู้สึกที่ดีให้กับคนที่เราคบหาอยู่

อยากจะตะโกนให้โลกใบนี้รู้เหลือเกินว่า "ทำไมมิตรภาพดี ๆ มันเหลือน้อยมากขนาดนี้"

สิ่งที่เราเคยคิดว่ามันคือมิตรภาพ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเป็นแค่ความหลอกลวงที่คนเรามีให้กันเท่านั้นแหล่ะ สมัยนี้มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน จะหาคนที่เป็นมิตรแท้ ๆ ได้สักกี่คน จะหาเจอไม๊ก้ไม่รู้

ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบในสังคมปัจจุบัน จะต้องมีการแลกเปลี่ยนกันเสมอ แต่ทำไมเมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้ล่ะ

เราเคยได้ยินมาว่า "ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความอ่่อนโยน มีความโอบอ้อมอารี มีมิตรไม่ตรีที่ดีต่อกัน ไม่ใช่แค่กับญาติพี่น้อง แต่รวมไปถึงคนรอบข้างด้วย"

คำ ๆ นี้เคยใช้ได้จริง ๆ นะ แต่ไม่ใช่ในปัจจุบันนี้

ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ขนาดว่าเราไม่ค่อยจะมีคนคบนะ ยังหามิตรภาพที่เป็นของแท้ไม่ได้เลย ขนาดมาอยู่บ้านนอกขนาดนี้ เรายังไม่เจอเลยเพื่อนแท้ ๆ

เคยมีคำพูดของคน ๆ หนึ่งท่านบอกเอาไว้ว่า "ถ้าเราอยากให้เค้าทำอะไรให้เรา เราควรทำสิ่งนั้นให้เค้าก่อน" เป็นไปได้ไม๊ที่คำพูดนี้จะเป็นความจริง ในเมื่อคนหลาย ๆ คนชอบที่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ไม่ได้แสดงทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากใจ

ตอนนี้ไม่ว่าจะเดินไปข้างนอกหรือว่านั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ใช้อินเตอร์เน็ตอยู่กับบ้าน เปอร์เซ็นต์ที่จะโดนหลอกลวงมันเกือบจะเท่า ๆ กันเลยนะ เพียงแต่่ว่าในอินเตอร์เน็ตเราไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับคน ๆ นั้นมากมาย แต่ว่าขนาดคนใกล้ตัวเรา ยังไม่มีเลยคำว่าจริงใจ เราจะไปหาที่ไหนได้ล่ะ

หรือว่ามีแต่เราคนเดียวที่เจอกับสิ่งเหล่านี้

ความจริงใจ มิตรภาพ หาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
คำพูดนี้ดูดีมาก แต่จะใช้งานได้จริงรึเปล่าอันนี้อยากรู้จริง ๆ เพราะสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ตอนนี้ ทุกสิ่งสามารถซื้อได้ด้วยเงิน เราทุกคนดิ้นรนเพื่อเงินตรา รวมถึงตัวเราเองด้วยแหล่ะ

บางครั้งเราก็ปรารถนาเงินตรามาก ๆ เลยนะ มากแบบสุด ๆ มากจนลืมหันไปดูคนที่อยู่ข้างหลัง คนที่เคยเลี้ยงดูเรามา หรือคนที่เราต้องเลี้ยงดูเค้าต่อไป รีบจนลืมสนใจในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีค่ามาก ๆ สำหรับผู้รับ

บทความนี้เขียนเพื่ออยากจะบอกถึงความรู้สึกที่เราได้ทำสิ่งเล็ก ๆ ที่เหมือนไม่มีค่าอะไรเลยนะ แค่หยิบน้ำให้แม่ดื่มหนึ่งแก้วตอนเช้า เชื่อไม๊ว่าเค้าดีใจ จนร้องไห้ สิ่งเล็ก ๆ ที่เราไม่เคยสนใจ

เคยกอดลูกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
คำถามนี้ต้องนึกนานมาก ๆ เลย ลูกนี้เป็นบุคคลสำคัญยิ่งในชีวิตเลยนะ อาจจะรักมากกว่าแม่ของเราเองด้วยซ้ำ แต่ทำไมเราถึงลืมที่จะกอดเค้าล่ะ เพราะอะไรน่ะเหรอ
เพราะเรายุ่งไง
ยุ่ง อยู่กับเรื่องของตัวเอง
ยุ่ง อยู่กับความต้องการของตัวเราเอง
ยุุ่ง อยู่กับวัตถุที่เราคิดว่าเค้าต้องการ (แต่จริง ๆ คนที่รักเราเค้าอาจจะไม่ต้องการก็ได้นะ)

บางครั้งถ้ามีเวลา ลองหันมาใส่ใจสิงเล็ก ๆ ที่เราไม่ต้องขวนขวายหามา หรือเราไม่ต้องไปดิ้นรนหามาจากที่ไหนหรอกนะ

สิ่งเล็ก ๆ ที่รอคอยเราผู้ยิ่งใหญ่ที่บ้านเสมอ

สิ่งเล็ก ๆ ที่ไม่เคยมีปากเสียงใด ๆ เมื่อผู้ยิ่งใหญ่อารมณ์เสีย

สิ่งเล็ก ๆ ที่คอยปลอบเมื่อผู้ยิ่งใหญ่ล้มลง

สิ่งเล็ก ๆ ที่คอยอยู่เคียงข้างเมื่อผู้ยิ่งใหญ่ไม่เหลือใคร

สิ่งเล็ก ๆ ที่คอยสนับสนุนในสิ่งที่ทุกคนคิดว่าผู้ยิ่งใหญ่คิดผิด

สิ่งเล้ก ๆ ที่มีค่าสำคัญ ที่เราไม่เคยเ็ห็นค่าของสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นเลย

วันนี้เราได้ใช้เวลาที่เรามีให้ความสำคัญกับสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้แล้ว แล้วคุณล่ะ ทำรึยัง

คุณรู้ไม๊ว่า มีใครเฝ้ารอโทรศัพท์จากคุณ

คุณรู้ไม๊ว่า มีใครเฝ้ารอทานข้าวพร้อมคุณ

คุณรู้ไม๊ว่า มีใครเฝ้ารอให้คุณเข้าไปกอด ไปหอมเค้า

แล้วบอกว่าคุณรักเค้า

เค้าคนนี้ไม่เคยทำร้ายคุณเลยนะ มีแต่เวลาที่คุณถูกทำร้าย คุณจะมีเค้าอยู่ด้วยตลอด ไม่ว่าคุณจะอยู่ไกลแค่ไหน หรือว่าคุณจะเดือดร้อนเวลาไหน ไม่ว่าจะดึกดื่นค่อนคืน เค้าคนนี้ก็จะมาคอยอยู่เคียงข้าง

คุณให้ความสำคัญกับเค้าคนนั้นของคุณรึยัง

คำว่า "สายเกินไป" มีจริงนะ และจะมีมาเสมอแหล่ะ เมื่อคุณนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเค้าอีกต่อไปแล้ว

อยากให้คนไทยมีสำนึำกในความกตัญญูกตเวที อันเป็นรากแก้ว ของความเป็นคน

ไม่อยากให้วัตถุมีค่าเหนือจิตใจ แต่ืเราคงทำอะไรไม่ได้

เราเองก็เคยลืม และมานึกขึ้นได้ทีหลังเหมือนกัน

แต่วันนี้เราไม่ลืมนะ ............................

แล้วคุณล่ะ

โลกที่สดใส อาจไม่ต้องซื้อหามาก็ได้นะ