วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คำอธิษฐานปล่อยสัตว์

นะโม 3 จบ
ข้าพเจ้าชื่อ...........................นามสกุล..............................................
เกิดวัน...............ที่.......... เดือน ....................... พ.ศ............. ตรงกับปีนักษัตร ...................
ปัจจุบันอายุ ...............ปี ได้ปล่อย ..........ชนิดสัตว์...........จำนวน ............ ตัว
ปล่อยเพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเองเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ศัตรู
และ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ตัวที่เป็นที่พึ่งขอให้นำความสุขและโชคลาภมาให้ ข้าพเจ้า
ตัวที่ให้กับศัตรูและเจ้ากรรมนายเวร จงนำเอา สรรพทุกข์ สรรพโศก
สรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์ เสนียดจัญไร ออกไปจาก ข้าพเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ขอให้พระแม่ธรณี, พระแม่คงคา, พ่อพระเพลิง, พ่อพระพาย, แม่พระโพสพ,
ทวยเทพเทวาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตย์อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้, เจ้าที่เจ้าทาง,
เทวดาที่รักษาตัวข้าพเจ้า, หลวงปู่โต, พญานาคราช และท่านท้าวพระยายมราช
จงเป็นสักขีพยานรับทราบกุศลเจตนาของข้าพเจ้า และคุ้มครอง ชีวิตสัตว์ให้ปลอดภัยจนสิ้นอายุขัย
ด้วยอำนาจของกุศลผลบุญนี้ จงสะเดาห์ เคราะห์ร้ายของข้าพเจ้าให้กลับกลายเป็นดี
มีความร่มเย็นเป็นสุข ประสพความสำเร็จสมหวังในสิ่งที่พึงปรารถนา
มีความเจริญก้าวหน้า มีชีวิตสดชื่น สุข สดใส ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไปด้วยเทอญ

โดยปกติแล้วดิฉันจะปล่อยสัตว์น้ำทุกเดือนนะคะ เดือนละ 1 ครั้งค่ะ
ปล่อยปลาไหล 2 ตัว, ปล่อยปลาดุก 2 ตัว
ดิฉันไม่ค่อยทำทีละหลาย ๆ ตัว (มันแพงเหมือนกันนะคะ)
คือทำตามกำลังมากกว่าค่ะ
และนิยมทำให้สม่ำเสมอนะคะ
เพราะการปล่อยสัตว์เป็นการสะเดาะเคราะห์แก้ดวงตกได้ด้วยค่ะ
ทำตั้งแต่ตอนที่เรายังดวงไม่ตก พอถึงเวลาดวงตกจริง ๆ ก็จะได้ไม่ตกไงล่ะคะ
ไม่ต้องกลัวนะคะว่าถ้าปล่อยปลาอะไรแล้วไม่ต้องรับประทานปลาชนิดนั้น
เพราะดิฉันเองก็รับประทานเหมือนกัน แต่พอหลัง ๆ ก็ไม่อยากรับประทานแล้วค่ะ
มันต่างกรรมต่างวาระกันนะคะ
อย่าคิดมากนะ เวลาทำบุญ
นี่เป็นเคล็ดค่ะ "เคล็ดประจำตัวเลยค่ะ"

ความทุกข์

ทุกคนเกิดมาล้วนมีปัญหา
ทุกคนเกิดมาล้วนมีความทุกข์
ทุกคนเกิดมาล้วนมีอุปสรรค
ทุกข้อที่ดิฉันกล้วมานั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนทุกคนจริง ๆ
ตั้งแต่เป็นทารก, วัยรุ่น, วัยทำงาน, จนถึงวัยเกษียณอายุราชการ
ล้วนมีความทุกข์ทั้งสิ้น เพียงแต่ความทุกข์ในแต่ละวัยนั้น
ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับภาวะในขณะนั้น

แต่ทุกความทุกข์ทั้งหลายบนโลกใบนี้
มีทางออกรอให้คุณหาเจอเสมอ
เพียงแต่คุณจะยอมออกมาจากความทุกข์เหล่านั้นหรือไม่
คุณพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงหรือไม่
คุณมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่
คุณพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้จริงหรือไม่

นี่คือคำถาม สำหรับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์
บางทีปัญหาที่คุณคิดว่าหนักหนาสาหัสแล้วสำหรับคุณ
มันอาจะไม่ใช่ความทุกข์ที่แสนสาหัสจริง ๆ ก็ได้
เมื่อถึงเวลาเราก็สามารถผ่านพ้นมาได้เสมอ
เพียงแต่เราแค่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันแค่นั้นเอง
เรากลัวกับความทุกข์ทั้ง ๆ ที่บางครั้งเรายังไม่ได้เจอกับมันเลยด้วยซ้ำ
เรากลัวมัน เพราะเราคิดถึงความทุกข์ตลอดเวลา
ความทุกข์อยู่กับเราตลอดเวลา
นั่นคือ "สิ่งที่เราคิดยังไงล่ะ"

เราทุกคน "คิด" ตั้งแต่ที่มันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ที่มันยังไม่มีมูลเหตุอะไรเลย
เราคิดตั้งแต่เริ่มรู้สึกไม่วางใจ, ระแวงต่อสิ่งรอบข้าง
เราคิดแล้ว "คิดที่จะกลัว" , จิตนาการไปเรื่อย ๆ
เป็นการสร้างอุปาทานในแง่ลบให้กับตนเอง
สร้างไปเรื่อย ๆ แล้วทีนี้แหล่ะ ความกลัวเหล่านั้นจะเป็นจริงขึ้นมาแหล่ะค่ะ

อย่ากลัวที่จะทุกข์นะ
อยากให้ทุกคนกล้าเผชิญหน้ากับมัน
และอยากให้ทุกคน "หยุดคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสักทีนะคะ"


ไม่มีใครทำร้ายคุณหรอก ถ้าคุณไม่ทำร้ายตัวเอง

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ดวงตก

"ดวงตก" คิดว่า คำ ๆ นี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตแน่นอน
เพราะผลของคำ ๆ นี้ค่อนข้างน่ากลัวเหลือเกิน
สำหรับทุก ๆ คน
เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และแน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นเราคาดไม่ถึงทั้งสิ้น
แต่คุณเชื่อไม๊?
คุณสามารถแก้ไขดวงชะตาได้ด้วยตนเอง
ตราบใดที่คุณยึดมั่นอยู่บนความดีงาม
ถึงแม้บนความดีงามจะมีความลำบาก, ความทุกข์, ความเหนื่อยยาก, ความทรมาน
แต่ถ้าคุณยังตั้งมั่นและยึดมั่นบนความดี
คุณทุกคนสามารถก้าวผ่าน คำ ๆ นี้ คำว่า "ดวงตก" ได้อย่างไม่คาดคิด
ชีวิตของคุณจะไม่ต้องกลัวกับคำว่า "ปีชง" หรือ "ดวงตก" หรือ "สะเดาะเคราะห์" อีกแล้ว

แต่กว่าจะถึงวันที่คุณสามารถยืนอยู่บนความดีงามได้
คุณจะเหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัส
คุณจะต้องประสบพบเจอกับปัญหานานัประการ
คุณจะต้องพบเจอกับอุปสรรคที่หลากหลาย
และความเหน็ดเหนื่อย, ความพยายาม, ความตั้งมั่นที่คุณมี
ที่คุณพร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหา
นั่นแหล่ะคือ สิ่งที่จะทำให้คุณผ่านพ้นอีกหลายปัญหาที่คุณจะต้องประสบพบเจอ
แต่ไม่ว่าปัญหาจะหนักกว่านี้อีกแค่ไหน

ตราบใดถ้าคุณเป็นคนดี
และตราบใดถ้าคุณยึดมั่นอยู่บนความดีงาม
ตราบนั้นคุณจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง
คุณจะสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวคุณเอง


เมื่อวันหนึ่ง ความดีของคุณถึงที่สุดแล้ว
คุณจะรู้ว่า "รอบ ๆ ตัวของคุณยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า"
"แต่คุณสามารถสัมผัสได้ว่าคุณ ไม่ได้อยู่คนเดียว"
"ยังมีอีกหลาย ๆ สัมผัสที่จะบอกคุณว่า อย่าท้อกับปัญหาแค่นี้ เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องเจอกับความทุกข์เพียงแต่คุณเจอกับความทุกข์แบบไหนแค่นั้นเอง"
"แต่ไม่ต้องคิดหรอกนะว่า คนอื่น ๆ เค้าจะสุขสบายกว่าเรา"
"ไม่มีใครบนโลกนี้มีความสุข และสมหวังทุกอย่างที่ต้องการหรอก"
"ทุกคนบนโลกใบนี้ มีความทุกข์ทั้งสิ้น แต่มันอยู่ที่ว่าเราสามารถเห็นความทุกข์นั้นหรือไม่"

ทุกครั้งที่เราเจอกับปัญหา
ทุกครั้งที่เรามีอุปสรรค
และถ้าทุกครั้งคุณสามารถผ่านพ้นไปได้
ดิฉันดีใจด้วยนะ
เพราะนั่นแปลว่า "คุณแข็งแกร่งมากขึ้น"
คุณจะเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อสามารถแก้ปัญหาชีวิตไปได้ 1 เรื่อง
และอีกกี่เรื่องที่คุณจะต้องเจอ
และมันจะทำให้คุณเข้มแข็ง และแข็งแกร่งมากขึ้นแค่ไหน
ลองคิดดูสิ

ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้ดิฉันเติบโต และแข็งแกร่ง
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้ดิฉันยึดมั่นอยู่บนความดีงาม
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้ดิฉันเห็นทางออกสู่ความเป็นนิรันดร์
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้ดิฉันกล้าเผชิญหน้ากับความจริง

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ทุกข์ เพราะ ความรัก

ทุกคนที่มีความรัก
รู้สึกหรือไม่
ทำไมทุกครั้งที่มีความรัก
เราจึงเป็นทุกข์


เพราะ
ความรัก เป็นห่วงแห่งอารมณ์ที่ยากแก่การแก้ไขมาก

หลายคนรู้ว่า มีความรักแล้วเป็นทุกข์
แต่ก็อยากจะมี
เพราะอะไร?


เพราะความรัก ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางให้เราชดใช้เวรกรรม
ซึ่งเป็นกรรมเก่าในอดีตชาติ หรือในชาตินี้
หากเราเคยทำให้คนที่รักเราเสียใจ
ไม่ว่าจะเป็นพ่อ, แม่, ญาติผู้ใหญ่, หรือแม้แต่พี่น้อง
ซึ่งนี่คือความรักที่บริสุทธิ์
แต่เรากลับปฏิเสธความรักแบบนี้แทบจะทันทีที่เราได้พบเจอ

มันเป็นเหมือนทางเดินที่เป็นมาตรฐานสำหรับทุก ๆ คน
ที่จะปฏิเสธ ความรักที่บริสุทธิ์
และมุ่งหน้าที่จะเดินไปหา ความรักที่เป็นทุกข์


เราเคยมองไม๊
ว่าผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกับเค้ามานานสักเท่าไหร่
แต่ทำไม เค้า สามารถทำร้ายเราได้มากมายเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ทั้ง ๆ ที่เค้าไม่ได้เกิดมาพร้อมเรา
ขนาดคนที่เค้าเกิดมาพร้อมเรา
เรายังไม่รักมากมายขนาดนี้
แต่ทำไมเราถึงรักเค้ามาก

เพราะ
นี่คืออีกหนึ่งบททดสอบของเวรกรรม
อีกหนึ่งหนทางที่จะทำให้เรามีความทุกข์
และเป็นหนทางที่ทุก ๆ คนเจอมาแล้วทั้งนั้น

ถือซะว่า
นี่เป็นการชดใช้ความเจ็บปวด
ที่เราเคยทำให้กับคนหลาย ๆ คนตั้งแต่ที่เราเกิดมา
และที่เราเคยเฉยเมย เย็นชา
ต่อความรู้สึกที่เค้ามีให้มาเสมอ

นี่คือ
การชดใช้เวรกรรม
ในรูปแบบหนึ่ง
ผู้ที่มีรัก ผู้นั้นมีความทุกข์
แต่ผู้ที่ไม่มีรัก ก็ย่อมแสวงหาในรักเสมอ

กรรม! เข้าใจง่ายกว่าที่คิด

สิ่งที่ชาวพุทธควรเชื่อ 4 ประการ
ความเชื่อในหลักกรรมนี้ ตามคำสอนของพระพุทธศานา ชาวพุทธต้องเชื่อ 4 อย่าง ต้องเชื่อหลัก 4 ประการ คือ
1. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จริง เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณจริง ๆ
2. กัมมสัทธา เชื่อในเรื่องกรรม คือ เชื่อว่ากรรมมีจริง หลักกรรมที่เราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วมีจริง
3. วิปากสัทธา เชื่อในผลของกรรม คือ เชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ยอมให้ผลเสมอ จึงจะเปลี่ยนกิจกรรมความเปลี่ยนแปลงของชีวิตไปในทางที่เชื่อถือ และถูกต้องได้
4. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน หรือเชื่อว่าผลที่เราได้รับเป็นผลแห่งการกระทำของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติ หรืออดีตชาติ หรือจะทำในภพใด
จะเห็นได้ว่าในความเชื่อศรัทธา 4 อย่าง เป็นความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับหลักกรรมถึง 3 อย่าง

การเชื่อเรื่องกรรม
ไม่ใช่เรื่องที่งมงาย หรือน่าเบื่อ
แต่เป็นเพียงการเข้าใจถึงสิ่งที่เรากำลังประสบพบเจออยู่ในวันนี้
ถ้าเราลองเปิดใจที่จะเชื่อ
และลองมองกลับไปสู่อดีต
จากวันนี้ลองมองกลับไปดี ๆ ช้า ๆ
เราจะได้รู้ว่า
สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ในวันนี้
นั่นคือ สิ่งที่เราเคยทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์มาก่อนนั่นเอง

ไม่จำเป็นต้องมีญาณทิพย์ หรือสัมผัสวิเศษ
แต่มนุษย์ทุกคนสามารถมองเห็นกรรมของตนเองได้
ด้วยตนเอง
เพียงแค่เราเปิดใจให้กว้างมากขึ้น
ปล่อยวางให้มากขึ้น
และทำให้จิตใจสงบเพียงพอ

การสวดมนต์แก้กรรม

การสวดมนต์นั้นมีอานุภาพ
ปาฏิหาริย์บันดาลผลในสิ่งที่ต้องการได้จริง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าจะสำเร็จได้ทุกคนไป
ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละท่านด้วย


การสวดมนต์ จะช่วยแก้ไขกรรมได้หรือไม่
ขึ้นอยู่กับ "บุญบารมี"
เพราะบางทีก็ได้ผล บางทีก็ไม่ได้ผล
ขึ้นอยู่กับเหตุผล 3 ประการ คือ

1. ถูกแรงกรรมปิดกั้น คือ ถูกกรรมเก่าขัดขวาง

2. ถูกกิเลสปิดกั้น คือ ขณะสวดมจิตของผู้สวดมีกิเลสเข้ามาปะปน ทำให้จิตไม่สงบหรือผู้สวด สวดด้วยอำนาจของความโลภ โกรธ หลง เช่น สวดมนต์เพื่ออยากให้ตนรวย ๆ อยาให้ถูกหวย หรือสวดมนต์เพื่อให้สามีรัก สามีหลง เป็นต้น

3. มีจิตไม่เชื่อในการสวดมนต์ คือ ไม่เชื่อในอานุภาพของบทสวดมนต์ ทำด้วยความไม่เชื่อมั่นว่าจะเป็นไปได้

ขอบคุณคำสอนของ พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)
เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี


**ดังนั้นตามความคิดของข้าพเจ้า หากท่านต้องการเห็นผลของการสวดมนต์
เราควรคิดแค่ว่า
"เราสวดมนต์เพื่อต้องการให้มีสติ และมีสมาธิ ไม่ได้ต้องการความร่ำรวย หรือความสุขใด ๆ ทั้งสิ้น และควรเชื่อมั่นในทุก ๆ บทสวดมนต์ที่เราสวด ที่เราเอ่ยออกจากปากของเรา ทุกครั้งที่เอ่ยออกมา เราต้องรู้ตัวว่าเราพูดคำว่าอะไร และจิตต้องอยู่ด้วยเสมอ"**

นี่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทราบ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เพียรสวดมนต์เพื่อความร่ำรวยมานานปี แต่ไม่เป็นผล
และผลที่ได้ ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มปลง และรู้สึกพอกับสิ่งที่มีในทุกวันนี้ อย่างมีความสุข

ความร่ำรวยอาจะไม่ใช่คำตอบของทุกชีวิต
แต่ถ้าวันนี้
เรารู้จัก "พอ"
วันนี้ เรารวย

ความทุกข์

ขอบคุณความทุกข์
ที่ทำให้เราค้นหาความสุข
และการดิ้นรนให้พ้นจากความทุกข์

เราพบปัญหากันทุกคน
คงไม่มีใครบอกกล้าบอกหรอกนะว่า "ไม่เคยมีความทุกข์"
เพราะทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมความทุกข์

เพราะอะไร?
เพราะเราทุกคนเกิดมาพร้อมกรรม

และ
กรรม คือ การกระทำ
ทั้งการทำความดี และการทำความชั่ว

เมื่อเราทำกรรมชั่วไปเรื่อย ๆ โดยไม่คิดจะสั่งสมกรรมดี
โดยคิดว่า ยังไงทุกวันนี้เราก็มีความสุข สนุก สบาย
และเมื่อถึงวันที่บุญเก่าเราหมด
วันนั้น คือ วันที่ความทุกข์จะมาเยือนเราอย่างจริง ๆ จัง ๆ
และเหมือนกับว่า
"ในโลกใบนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเราได้เลย"
เพราะอะไร
"เพราะคุณไม่มีบุญพอที่จะมองเห็นว่าใครสามารถช่วยเหลือคุณได้"
"หรือแม้แต่คิดจะทำบุญ คุณยังทำไม่ได้เลย"
"คุณคิดว่านั่น คือ สิ่งที่ไร้สาระ"
"อย่าไปคิดจนถึงขั้นสวดมนต์นะ"
"เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ไม่สามารถหาทางออกให้กับชีวิตของตนเองได้นั้น จะไม่ค่อยได้สวดมนต์"


การทำความดี (การสะสมกรรมดี)
ไม่ยากอย่างที่คิด
แค่แบ่งอาหารของเรา ให้สัตว์จรจัด หรือให้ร่มเงามันบ้าง แสดงความห่วงใยในบางครั้ง
หรือ
การให้น้ำคนขอทาน, การช่วยคนแก่ข้ามถนน, หรือหาข้าวให้พ่อกับแม่เราทาน,
แค่ความรู้สึกดี ๆ ที่เรามีให้คนรอบข้าง
นั่นแหล่ะ "ความดี"