วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

กรรมเหนือหมอดู


กรรมเหนือหมอดู
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


ทำไมการพยากรณ์อดีตจึงแม่น พยากรณ์อนาคตไม่แม่น
ตอบ เพราะชีวิตคนมิได้ขึ้นอยู่กับโหราศาสตร์เป็นเงื่อนไขอย่างเดียว มันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขปัจจัยอีกมากมาย อดีตนั้น "นิ่ง" แล้ว ไม่มีเงื่อนไขอะไรมาผลักดันให้เป็นอื่นได้ เพราะฉะนั้น การทำนายทายทักจึงมักจะตรง แต่ปัจจุบันและอนาคต มันยังเคลื่อนไหวเพราะเหตุปัจจัยอีกหลายอย่าง ยังไม่นิ่ง
เงื่อนไข ที่สำคัญที่สุดคือ "กรรม" (การกระทำ) ของคนๆ นั้นอง เขาทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีคละกันไป สิ่งเหล่านี้แหละมีแนวโน้มจะให้ผลในอนาคต ไม่ว่าดี หรือไม่ดี
พูด อีกนัยหนึ่ง เราเป็นผู้กำหนดอนาคตเราเอง ถ้าต้องการให้ชีวิตเป็นไปอย่างใด ก็ต้องสร้างเงื่อนไขที่ดีๆ ไว้ให้มาก แล้วอนาคตจะไปดีเอง ตรงข้ามถ้าสร้างแต่เงื่อนไขไม่ดี อนาคตก็เป็นไปตามนั้น

คนเราถ้าไม่ขวนขวายพยายาม
ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม
ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฟ้าดิน
แต่กรรมเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดอย่างแท้จริง
นั่นคือเราต้องสร้างอนาคตของเราเอง
คนที่พยายามพึ่งตัวเองด้วยการกระทำแต่ความดีถึงที่สุดแล้ว
ย่อมอยู่เหนือโชคชะตา

ถ้าใครคิดว่าชีวิตถูกลิขิตมาอย่างใดก็ย่อมเป็นอย่างนั้น แก้ไขไม่ได้เลย
ผู้นั้นถึงจะเป็นคนคงแก่เรียนเพียงใด
ก็นับว่าโง่อยู่นั้นเอง

เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า การเด็ดดอกไม้เพียงดอกเดียว สะเทือนไปถึงดวงดาว
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราตัดสินใจทำกรรมดีกรรมชั่วในตอนนี้ มันสะเทือนไปถึงปัจจุบันและอนาคตของเราด้วย
ด้วยเหตุนี้ หมอดูดังๆจำนวนมากมักทำนายเหตุการณ์ต่างๆผิดพลาด
เพราะเขารู้แต่พรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิม พรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่เขาไม่รู้
แม้แต่พระอริยะเจ้า ท่านยังทำนายพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ไม่ได้เลย ท่านรู้เฉพาะพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมเท่านั้น

1. หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
หลวงพ่อจรัญทำนายว่า.....อาตมาจะมรณภาพวันที่ 14 ตุลาคม 2521 เวลาเที่ยง 12.45 น.ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมของท่าน
เมื่อถึงเวลานั้น หลวงพ่อจรัญท่านก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ คอหักจริงๆ แต่ท่านไม่ตาย ด้วยเหตุที่ หลวงพ่อจรัญได้สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมาก และแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น ไก่เหล่านั้นเลยให้อภัย ท่านจึงแค่คอหัก แต่ไม่ตาย
นี่คือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ของท่าน
วิเคราะห์
- หลวงพ่อจรัญมองเห็นกรรมเก่าที่จะให้ผล(ตามพรหมลิขิต/กฎแห่งกรรม)
- หลวงพ่อจรัญมองไม่เห็นกรรมใหม่ที่จะให้ผล ท่านทำกรรมใหม่ คือ สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมาก และแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น
- กรรมใหม่ส่งผลเปลี่ยนพรหมลิขิต กฎแห่งกรรมในอดีต จึงให้ผลไม่ได้เต็มกำลัง เพราะโดนวิบากกรรมดีในชาตินี้ช่วยไว้

2. พระสารีบุตร
ในครั้งพุทธกาล พระสารีบุตร และภิกษุอื่นๆ ต่างไม่ได้ให้พรเณรบวชใหม่คนหนึ่ง ให้มีอายุยืน เพราะวิบากกรรมของเขาต้องตาย ถึงฆาตแน่ พระสารีบุตรได้เล็งเห็นว่า เณรผู้นี้จะมรณะในอีก 7 วัน
ท่านจึงอนุญาตให้เณรกลับไปเยี่ยมบ้าน เพื่อโปรดบิดามารดา และญาติโยมทางบ้านเป็นครั้งสุดท้าย
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมของเณรบวชใหม่
เมื่อเพลาผ่านไปเจ็ดวัน เณรได้กลับมายังอารามเหมือนเดิม พระสารีบุตรเองแปลกใจว่า เพราะเหตุใดเณรคนนั้นไม่ตาย ท่านจึงได้สอบถามเณรว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทางไปและกลับ เณรได้แถลงไขว่า ระหว่างทางที่ไปนั้น ได้พบปลาจำนวนหนึ่งตกคลักในหนองน้ำที่ใกล้แห้ง จึงได้เอาจีวรช้อนขึ้นมาไปปล่อยในแหล่งน้ำที่ใกล้ๆ
ด้วยญาณแห่งพระสารีบุตร ท่านก็ทราบได้ว่า ปลาเหล่านั้น คืออดีตเจ้ากรรมนายเวรของเณรผู้นั้นเอง และเมื่อเณรได้นำปลาไปปล่อยในแหล่งน้ำ เท่ากับว่าได้ทำบุญต่ออายุให้กับตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวรนั้น จึงได้อโหสิกรรมให้เณร
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ของเณรบวชใหม่
วิเคราะห์
- พระสารีบุตรมองเห็นกรรมเก่า(พรหมลิขิต/แผนที่ชีวิต)ที่จะให้ผลให้เณรคนหนึ่งตาย
- พระสารีบุตรมองไม่เห็นกรรมใหม่ ที่จะให้ผลให้เณรคนนั้นไม่ตาย ซึ่งเป็นตอนที่เณรคนนั้นเดินทางกลับบ้าน เณรไปปล่อยปลา ซึ่งเป็นการทำกรรมใหม่ ทำให้กรรมเก่าของเณรไม่ส่งผล

มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สามารถเห็นอนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง

สรุป
กฎแห่งกรรมก็คือพรหมลิขิตนั่นเอง
แต่กฎแห่งกรรมบอกวิธีการแก้พรหมลิขิต
หรือ แก้แผนที่กฎแห่งกรรมในอดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบันและอนาคตเอาไว้ด้วย
ถ้าเราทำตามพรหมลิขิต โดยไม่แก้ไขอะไรให้ดีขึ้น ก็เท่ากับเราไม่เข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างแท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

ดิ้นรน


เราเชื่อว่าทุกคน
ต้องมีความรู้สึก
อยากได้, อยากมี, อยากเป็น
เราเองก็มีความอยากเหมือนกันนะ

เราอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง
เราอยากมีรถ
เราอยากมีเงินเก็บสักก้อน
เราอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง

มันเป็นความต้องการพื้นฐาน
ที่คนเราทุกคนอยากมีเหมือนกัน

แต่เราเพิ่งคิดได้ว่า
เราอยากมีไปเพื่ออะไร
เราอยากมีให้ลูกของเรา
แล้วถ้าลูกของเราไม่สามารถเก็บรักษาสิ่งที่เราเพียรหาได้ล่ะ เราเสียใจไม๊?

คนทุกคนล้วนดิ้นรน
ไปให้ถึงจุดหมาย
หรือความฝันที่เราล้วนกำหนดขึ้น
ไม่ใช่แค่เราเป็นผู้กำหนด
แต่สังคม และครอบครัวก็เช่นกัน

ทุกคนรอบ ๆ ตัวของเรา
กำหนดบรรทัดฐานของชีวิตมนุษย์
ไว้ที่สิ่งของ, ไว้ที่พาหนะ, ไว้ที่เคหาสน์สถาน
แต่เราลืมกำหนดบรรทัดฐานให้กับจิตใจของเราเอง

บางครั้งเราอาจดิ้นรนมากเกินไป
ดิ้นรนจนเราอาจคิดว่า
"ทำไมชีวิตของเราถึงไม่มีอะไรดีสักอย่าง?"
"ทำไมเราต้องดิ้นรนมากกว่าคนอื่น?"
"ทำไมเราไม่สบายสักที?"

แต่เราลืมไปนะว่า
สิ่งที่เราอยากให้มันมี
มันสมกับฐานะของเราหรือไม่
เรามีความสุขหรือไม่
กับการดิ้นรนให้ได้มา
และเราจะมีความสุขหรือไม่
หากเราต้องสูญเสียมันไป

ชีวิตมนุษย์มันก็ไม่ได้ยืนยาวอะไรเลยนะ
แต่ทำไมทุกคนมุ่งแสวงหาแต่วัตถุภายนอก
แล้ววัตถุภายในที่เราจะนำพาไปได้เมื่อถึงวันตาย
ทำไมไม่มีใครแสวงหาบ้างล่ะ?

ฉุกคิดสักนิด
ลดอาการดิ้นรนสักหน่อย
อย่าให้ความอยาก
มาบดบังสิ่งที่เราสามารถมีความสุขได้ในวันนี้

อย่ามองอนาคตที่มันอยู่ไกลเกินไปเลย
มองใกล้ ๆ หรือมองแค่วันนี้
คิดเผื่อไว้บ้าง
เผื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีสำหรับเราล่ะ
เราจะมีความสุขกับวันนี้ได้ไม๊

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ปัญหามีทางออกเสมอ


สำหรับทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า
นับตั้งแต่วันที่เราลืมตาขึ้นมาดูโลกจนถึงทุกวันนี้
เราได้พบเจอกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย
ที่มีผลในการดำเนินชีวิต และการตัดสินใจ

เพียงแต่ว่า
เมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้น
เราไม่ได้เผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง
เรามีพ่อ มีแม่ มีญาติพี่น้อง
คอยช่วยเหลือ คอยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้
ถึงวันนั้นเราจะท้อแท้ หรือหมดกำลังใจ
แต่เรายังมีคนคอยเป็นที่พึ่งให้เราอยู่เสมอ

ทุกครั้งที่เราหมดหวัง
เราไม่เคยอยู่คนเดียว
ทุกครั้งที่เราอยากมีกำลังใจ
เราสามารถขอความเห็นใจจากพี่น้องมากมาย
ทุกครั้งที่เราอยากขอความช่วยเหลือ
เราก็มีมือมากมายคอยโอบอุ้ม และปกป้องเราเสมอ


และวันนี้
เมื่อเราเติบโตแล้ว
เรามีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว
เราก็ยังปรารถนาจะให้มีคนคอยปกป้องเราเหมือนเช่นเดิม
แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เพราะในวันนี้ ความรับผิดชอบของเราต้องมากขึ้น
และที่สำคัญ เราต้องโตขึ้น
ต้องมีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตมากขึ้น
เพื่อที่เราจะสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกของเราได้
เหมือนเช่นที่พ่อแม่ หรือลุงป้า หรือน้าอา
เคยช่วยเหลือเรามาก่อน

ปัญหามีไว้แก้ไข
ปัญหามีไว้เพื่อให้เรามีประสบการณ์
ปัญหามีไว้เพื่อให้เรามีความพยายาม
และสำหรับทุกปัญหามันมีทางออกเสมอ
เพียงแต่ในวันนี้ เราอาจจะยังไม่เจอทางออก
หรืออาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา
แต่ทุกปัญหามีทางออกจริง ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ "การสวดพระคาถาเงินล้าน"



บางครั้งเราจำเป็นต้องอาศัยเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากศรัทธาที่เรามีต่อพระพุทธศาสนา

ดังนั้นการเลือกจะสวดมนต์ใน "พระคาถาเงินล้าน" ก็เกิดขึ้นจากศรัทธาเช่นเดียวกัน
แต่เคล็ดลับในการสวด "พระคาถาเงินล้าน" นั้น
ผู้สวดจะต้องสวดด้วยจิตอันตั้งมั่น
ไร้ความอยากต่าง ๆ ความโลภ
ให้สวดด้วยความมีเมตตา , ความกรุณา, ความรัก
ให้มโนภาพเห็นแสงสว่างอันอ่อนนุ่ม
แผ่ความกรุณาให้ไพศาล
ให้เห็นกลีบดอกบัวสีขาวเป็นล้าน ๆ กลีบ
แผ่ความรักความกรุณาจากเหนือกลางกระหม่อมออกไป
ถึงบุคคลต่าง ๆ หรือมวลมนุษย์, สรรพสัตว์ ตลอดทั้งจักรวาล และ 3ภพ

นี่เป็นเคล็ดลับในการสวด "พระคาถาเงินล้าน"
เพราะจริง ๆ แล้วการสวดมนต์
เราไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน
ถึงแม้พระคาถานี้จะเด่นทางด้านโชคลาภ
แต่เราควรสวดมนต์ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

คือให้นึกถึงเฉพาะบทสวดมนต์
พยายามอย่าให้จิตคิดถึงสิ่งอื่นใด หรือคิดในเรื่องต่าง ๆ
พยายามดึงจิตใจให้กลับมาสวดมนต์
ให้กลับมาอยู่ที่เดิม

ที่สำคัญสำหรับเรา
เราจะนึกถึงหน้าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อเงินไหลมา (วัดท่าซุง)
เพียงแต่เพิ่งรู้วันนี้แหล่ะว่า
"ห้ามโลภ คือเวลาสวด ให้ทำจิตใจให้ว่างที่สุด"

วันนี้เราจะลองทำใหม่
จะพยายามกำหนดให้จิตมีสติ
เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น

สวดมนต์


"ลองสวดมนต์สิ"
นี่คือคำที่หลาย ๆ คนจะได้ยินจากเราบ่อยมาก ๆ
ใครที่ประสบปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ มาเจอกับเรานะ
เราก็จะบอกไปว่า "ให้ลองสวดมนต์ดูสิ"

นาทีที่เค้าประสบพบเจอกับปัญหาเนี่ย
เราก็รู้นะว่า "จิตเค้าตกแน่นอนแหล่ะ"
เพียงแต่ว่า เราจะทำยังไงให้เค้ามีสติ
เพราะเวลาคนเราจิตตก สติก็กระเจิงเหมือนกันนะ

ก็มักจะบอกหลาย ๆ คนให้ไปสวดมนต์ดู
อยากขายของดี "ให้สวดมนต์"
อยากให้มีคนรัก "ให้สวดมนต์"
อยากรวย "ให้สวดมนต์"
อยากมีลูกดี "ให้สวดมนต์"
อยากมีแฟนดี ๆ "ให้สวดมนต์"
ใครมีความอยากมีหลายประการ เราก็จะบอกเหมือนกันว่า "ให้สวดมนต์"

เพราะ "เราสวดมนต์นะ นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่เรามี ถึงแม้เราจะมีปัญหามากมายเพียงใดตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงสิ้นปี เราก็จะพยายามสวดมนต์ แม้จะไม่ได้ทุกวัน แต่เราก็จะพยายามไปสวดมนต์ให้ได้ คือต้องพยายาม ถึงแม้จะท้อแท้ และล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่เราก็จะพยายามนะ พยายามทำให้ได้ เพราะเรากลัวไง เรากลัวว่า ถ้าวันไหน เราหยุดสวดมนต์ เรากลัวเวรกรรมจะตามมาทัน เรากลัวการไม่มีเงิน เรากลัวการไม่มีงาน แต่เวลาที่สวดมนต์ เราจะพยายามทำจิตใจสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง แต่ทุกครั้งเราจะคิดว่า ทำให้ดีที่สุด แค่นี้แหล่ะ "พอ""

เราก็จะยกข้อดีของการสวดมนต์
ไปบอกกับคนที่เจอปัญหานะว่า
ข้อที่ 2 ของ อิติปิโส ก็คือ สวากขาโต
ซึ่งท่อนนี้จะแปลว่า
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งผู้รู้ก็จะรู้ได้เฉพาะตน
อันนี้เราก็จะแปลเป็นภาษาที่ทำให้เค้าเข้าใจง่ายขึ้นว่า

พระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น
ที่จะสามารถมองเห็น หรือรับรู้ได้
ถ้าคุณไม่ลองดู แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง
ในเมื่อคุณอยากรู้
แต่ถ้าคุณไม่อ่าน
แล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้


นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามบอกกับหลาย ๆ คนให้เค้าทำ
แต่เราก็ไม่สามาถชักจูงคนได้ทั้งหมดหรอกนะ
เพราะบางครั้งสิ่งที่เราพูดก็มีคนอีกมากมายที่ไม่เชื่อ
เพราะตัวเราเองก็ผิดศีลข้อ 4 ซึ่งผลแห่งการผิดศีลข้อนี้ก็คือ
ทำให้ไม่มีคนเชื่อถือในคำพูดของเรา เหมือนเราพูดเพ้อเจ้อ

แต่เราก็พยายามนะ
เพราะเราแค่อยากให้เค้าได้ดี
และเราอยากให้เค้าได้รู้
ในสิ่งที่เรารู้เช่นเดียวกัน

แค่คิดดี และอยากให้คนอื่นได้ดี
มันก็คงเพียงพอแล้ว
สำหรับการชักชวนคนรอบข้างให้มาสวดมนต์
อย่างมีสติ

ความดี


วันนี้เป็นวันที่เรามีความยินดีมาก ๆ เลยนะ
ปัญหาของเราที่ใหญ่กว่าปัญหาเก่ายังรอเราแก้ไขอีกเพียบ
แต่วันนี้เราภูมิใจและยินดีอย่างยิ่งที่อยากจะบอกให้หลาย ๆ คนได้รู้ว่าวันนี้
"เราทำความดี ด้วยใจบริสุทธิ์จริง ๆ"

เมื่อก่อนเราทำความดี แค่การกระทำ
แต่วันนี้ปัญหาที่เราต้องเจอหลาย ๆ ครั้ง
ค่อย ๆ บ่มเพาะจิตใจของเราให้เข้มแข็ง และแกร่งมากยิ่งขึ้น
ถึงเราจะท้อทุกครั้งที่เจอปัญหา
แต่เรายังไม่เคยละเว้นในการทำความดีเลยนะ

ถึงแม้บางครั้งเราจะไม่มีเงินไปทำบุญ หรือพาแม่ไปวัด
แต่เราสามารถทำความดีได้
แม้ว่าเราจะอยู่ที่บ้าน
เพราะเราสามารถดูแลพระในบ้านได้

โดยสิ่งที่เราทำนั้น
เราต้องบอกว่า มันทำให้เรารู้สึกดีมาก ๆ เลยนะ
มันอิ่มเอมใจ และมีความสุขมาก ๆ เลย

วันนี้เราไม่เสียใจแล้วนะ ที่แม่ไม่เหลือสมบัติอะไรให้เรา
เพียงแค่วันนี้ เรามีแม่ให้เราแสดงความกตัญญูกตเวที
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วแหล่ะ
เราไม่ต้องเดินทางไปหาพระอรหันต์ที่ไหนหรอกนะ
เพราะพระอรหันต์สำหรับลูกทุกคน
ก็คือ "แม่"

เรามีความสุขที่เราได้ตอบแทนพระคุณของแม่
แม่สอนให้เรารู้จักกับคำว่า "เสียสละ"
เราจะทำให้แม่มีความสุข
แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราก็มีความสุข
และแม่ของเราก็มีความสุขด้วยเช่นกัน

เงินทองเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต
แต่เงินทองไม่ใช่ทางออกของปัญหาในชีวิตได้หรอกนะ
และเงินทองไม่สามารถนำพาใครไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานได้

นี่คืออีกหนึ่งสัจธรรมที่เราค้นพบหลังจากที่เราได้ว่างเว้นจากการเขียนบล๊อกไป
เราอยากบอกต่อแค่นั้นเอง

อุปสรรค


อุปสรรคที่เราต้องเจอในวันนี้
คือ กรรมเก่าที่เราเคยทำกับใครไว้ในชาติก่อน ๆ
ผลที่เราต้องมาเจออุปสรรคเหล่านี้
ทำให้เราท้อแท้ และถามตัวเองเสมอว่า
"ทำไมชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้ ในเมื่อวันนี้เราไม่ได้คิดร้าย หรือทำเรื่องไม่ดีต่อใครทั้งสิ้น แต่ทำไมชีวิตของเรายังต้องเจอกับเรื่องพวกนี้"
แต่เมื่อเราก้าวผ่านอุปสรรคนั้นมาได้
พอเราหันกลับไปมองดู เราจะรู้สึกว่า
อุปสรรคนั้นไม่ได้ใหญ่มากไปกว่าใจเราคิดเลย
เพราะเราสามารถผ่านมาได้
แต่อุปสรรคใหม่ที่กำลังรอเราอยู่ในข้างหน้า
"ทำไมมันถึงยากจัง"
นี่คือสิ่งที่เรากำลังเจอ และเรารู้สึกว่า
"เราต้องรวบรวมทุก ๆ ความอดทนที่เรามีเพื่อทำให้เราสามารถผ่านไปให้ได้"
"ถึงแม้จะยากเย็นแค่ไหน ถึงแม้เราจะต้องจมกับอุปสรรคนี้อีกนานแค่ไหน แต่มันจะต้องมีวันที่เราผ่านไปได้"
เพียงแต่ เราต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับอุปสรรคที่เรากำลังเจอ

ถึงแม้วันนี้เราจะสามารถผ่านอุปสรรคนี้ไปได้
แต่เราก็ยังมีอุปสรรคใหม่ รอเราอยู่แล้ว
เพราะถ้าเราได้ผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปได้
อุปสรรคที่เราจะต้องเจอ
มันต้องยากกว่านี้แน่นอน
เพียงแต่เป็นการเพิ่มระดับความยากขึ้น
และเมื่อวันที่เราสามารถชนะอุปสรรคทั้งหลายได้
เราก็สามารถยกระดับจิตใจของเราได้เช่นกัน

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ
สำหรับการเป็นคนดี