วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

สวดมนต์


"ลองสวดมนต์สิ"
นี่คือคำที่หลาย ๆ คนจะได้ยินจากเราบ่อยมาก ๆ
ใครที่ประสบปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ มาเจอกับเรานะ
เราก็จะบอกไปว่า "ให้ลองสวดมนต์ดูสิ"

นาทีที่เค้าประสบพบเจอกับปัญหาเนี่ย
เราก็รู้นะว่า "จิตเค้าตกแน่นอนแหล่ะ"
เพียงแต่ว่า เราจะทำยังไงให้เค้ามีสติ
เพราะเวลาคนเราจิตตก สติก็กระเจิงเหมือนกันนะ

ก็มักจะบอกหลาย ๆ คนให้ไปสวดมนต์ดู
อยากขายของดี "ให้สวดมนต์"
อยากให้มีคนรัก "ให้สวดมนต์"
อยากรวย "ให้สวดมนต์"
อยากมีลูกดี "ให้สวดมนต์"
อยากมีแฟนดี ๆ "ให้สวดมนต์"
ใครมีความอยากมีหลายประการ เราก็จะบอกเหมือนกันว่า "ให้สวดมนต์"

เพราะ "เราสวดมนต์นะ นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่เรามี ถึงแม้เราจะมีปัญหามากมายเพียงใดตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงสิ้นปี เราก็จะพยายามสวดมนต์ แม้จะไม่ได้ทุกวัน แต่เราก็จะพยายามไปสวดมนต์ให้ได้ คือต้องพยายาม ถึงแม้จะท้อแท้ และล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่เราก็จะพยายามนะ พยายามทำให้ได้ เพราะเรากลัวไง เรากลัวว่า ถ้าวันไหน เราหยุดสวดมนต์ เรากลัวเวรกรรมจะตามมาทัน เรากลัวการไม่มีเงิน เรากลัวการไม่มีงาน แต่เวลาที่สวดมนต์ เราจะพยายามทำจิตใจสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง แต่ทุกครั้งเราจะคิดว่า ทำให้ดีที่สุด แค่นี้แหล่ะ "พอ""

เราก็จะยกข้อดีของการสวดมนต์
ไปบอกกับคนที่เจอปัญหานะว่า
ข้อที่ 2 ของ อิติปิโส ก็คือ สวากขาโต
ซึ่งท่อนนี้จะแปลว่า
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งผู้รู้ก็จะรู้ได้เฉพาะตน
อันนี้เราก็จะแปลเป็นภาษาที่ทำให้เค้าเข้าใจง่ายขึ้นว่า

พระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น
ที่จะสามารถมองเห็น หรือรับรู้ได้
ถ้าคุณไม่ลองดู แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง
ในเมื่อคุณอยากรู้
แต่ถ้าคุณไม่อ่าน
แล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้


นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามบอกกับหลาย ๆ คนให้เค้าทำ
แต่เราก็ไม่สามาถชักจูงคนได้ทั้งหมดหรอกนะ
เพราะบางครั้งสิ่งที่เราพูดก็มีคนอีกมากมายที่ไม่เชื่อ
เพราะตัวเราเองก็ผิดศีลข้อ 4 ซึ่งผลแห่งการผิดศีลข้อนี้ก็คือ
ทำให้ไม่มีคนเชื่อถือในคำพูดของเรา เหมือนเราพูดเพ้อเจ้อ

แต่เราก็พยายามนะ
เพราะเราแค่อยากให้เค้าได้ดี
และเราอยากให้เค้าได้รู้
ในสิ่งที่เรารู้เช่นเดียวกัน

แค่คิดดี และอยากให้คนอื่นได้ดี
มันก็คงเพียงพอแล้ว
สำหรับการชักชวนคนรอบข้างให้มาสวดมนต์
อย่างมีสติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น