วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความรู้สึกของคนเป็นแม่


เคยคิดไม๊ว่าชีวิตของเราเนี่ย น้ำเน่ากว่านิยายในหนังซะอีกนะ

ชีวิตเราก็เป็นเหมือนกัน ยังถามตัวเองจนถึงทุกวันนี้เลยนะว่าทำไมชีวิตของเรามันถึงเป็นแบบนี้ การงานก็ไม่ได้เลิศเลอทำเงินได้มากมาย (อันเนื่องมาจากเรียนไม่จบอะไรสักอย่าง) ความรักก็ออกแนวเฮงซวย (แหมก็ดันท้องนี่นา จะเหลืออะไรให้เลือกอีกล่ะ) ทีนี้เราก็เลยปล่อยให้ชีวิตมันเป็นไปตามทางของมัน ปล่อยไปเรื่อย ๆ เหมือนผักตบชวาที่ลอยอยู่ในคลองนั่นแหล่ะ ไม่อยากฝืนอะไรแล้ว เพราะกลัวไง ยิ่งเราฝืน ก็ยิ่งแย่ อันนี้จะเป็นช่วงความคิดแรก ๆ ตอนที่ท้องลูกชายอยู่นะ

ตอนนั้นรู้สึกว่า ชีวิตของฉันที่เหลืออยู่เนี่ย มันคงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกแล้วแหล่ะ เพราะว่าชีวิตเรามันก็ผ่านอะไรมาหมดแล้ว จุดสูงสุดของชีวิตคนเรา ก็ไปอยู่มาได้พักหนึ่ง จุดต่ำที่สุดก็ไปอยู่มาแล้ว คิดว่าถ้าตอนนั้นตายไปก็คงจะไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว (ขนาดแม่เรา เรายังไม่ได้คิดถึงเค้าเลย)

ขนาดท้องลูกนะ เค้าก็ดีนะไม่ทำให้แพ้เลยแม้แต้น้อย อดทนมาก ๆ ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยร้อน ไม่เคยหนาว อะไรที่ทำไม่ได้ ก็ทำได้ทุกอย่าง คือตอนนั้นทุกอย่างเราต้องท่องไว้อย่างเดียวว่า "อดทน"

แหม! อย่าคิดนะคะว่าทำไมไม่เอาลูกออก ไปลองมาแล้วค่ะ เค้าไม่ยอมออกน่ะสิ ตกขาวเยอะมาก ๆ แต่ไม่ยอมหลุด หลังจากที่ทำแล้วนะก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเค้ารอดอยู่ครบ 9 เดือนแล้วถ้าเกิดมาพิการไปจะทำยังไงดี เครียดมาก ๆ เลยอ่ะ

ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เพราะถ้าเค้าพิการจริง ๆ มันก็เกิดจากสิ่งที่เราทำกับเค้านั่นแหล่ะ

พอเค้าไม่หลุดจริง ๆ เราก็เลยรีบบำรุงเลยนะ นมไวตามิ้ลค์น่ะกินเป็นลังเลยแหล่ะ กับไข่ จะบอกว่าไม่แพ้ก็ไม่ได้นะ เพราะไม่อยากกินอย่างอื่นน่ะ ของมันก็ไม่กิน แต่ไข่นี่กินทุกวันเลย นมไวตามิ้ลค์ กับปลา

ตอนนั้นต้องบอกว่าไม่มีความรู้สึกว่ารักลูกในท้องเลยนะ ไม่รู้สึกว่าผูกพัน หรือว่าจะเลี้ยงเค้าในอนาคตเลย ไม่มีจริง ๆ นะ ก็เลยคิด ๆ เหมือนกันว่าจะทิ้งไว้ให้ พ่อแม่สามีเลี้ยง เราจะได้ไปหางานทำ

ช่วงนั้นก็ต้องอดทนทำในสิ่งที่ พ่อแม่สามีให้เราทำน่ะ เค้าให้เราเลี้ยงควาย ทำไร่ เชื่อไม๊ เราทำได้ เพราะตอนนั้นถ้าเราเลือกมากเราก็จะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนเลยแหล่ะ เราไม่มีความคิดจะกลับบ้านหรอกนะ เพราะเรารู้ไงว่าทำให้แม่เสียใจ ทำให้แม่ต้องเสียหน้า ทำให้แม่ต้องอาย ขนาดว่าจะไปผ่าลูกออกอยู่แล้วนะ ยังอวดดีกับแม่อยู่เลย เราบอกแม่ไปว่า "แม่จะเลี้ยงลูกให้ไม๊" แม่บอกว่า "ไม่เอาหรอก อายเค้า" หลังจากนั้นมา เราก็ตัดแม่ ตัดลูกกับแม่ไปเลยนะ แต่ก็ตัดได้ไม่นานหรอก

พอน้องปิงปองคลอดออกมาเท่านั้นแหล่ะค่ะ

ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดเลยนะ เรารู้สึกว่าเรารักเด็กคนนี้มากเลยนะ ขนาดเราเจ็บแผลผ่าตัดมาก ๆ เรายังต้องลุกขึ้นมาให้ลูกได้ทานนมเลย เราจำได้คืนนั้นเพิ่งจะผ่าน้องออกมา เราก็ยังไม่เจ็บแผลเท่าไหร่ เพราะยังมีฤทธิ์ยาอยู่ แต่พอเช้าขึ้นมานี่สิ โห! มันแบบว่าปวดมาก ๆ เลยอ่ะ กระดิกไม้ได้เลย แล้วลูกก็นอนอยู่ข้าง ๆ บนเตียงเดียวกันอ่ะนะ (เกิดโรงพยาบาลรัฐบาล ใช้สิทธิ์บัตรทอง เงินจะไปคลอดลูกยังไม่มีเลย) แต่เค้าไม่ร้องนะ เค้าหิว แต่เค้าไม่ร้อง รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ เค้าก็ดิ้นยุกยิก ๆ อยู่ข้าง ๆ ไง แหมเราก็เจ็บนะ ลูกก็ดิ้นไม่หยุดเลย ทำไงล่ะทีนี้ นึกคำพูดของหมอที่เคยผ่าตัดพี่สาวเค้าบอกเอาไว้ว่า "ถ้าอยากหายเจ็บแผลเร็ว ๆ เราต้องรีบเดินให้เร็วที่สุด" ก็เลยขอมอร์ฟีนจากพี่พยาบาล พี่เค้าก็เอามาให้นะ พอได้มาก็กระซิบบอกลูกว่าเดี๋ยวแม่มานะครับ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเลยนะ เดินไปห้องน้ำ แล้วเดินกลับมา มันหายเจ็บจริง ๆ ด้วย อันนี้ไม่แน่ใจนะ เพราะยาหรือเพราะรักลูก

เพราะถ้าเรายังเจ็บแผลอยู่ลูกของเราเค้าก็จะไม่ได้กินนม คิดได้อย่างนั้น แผลไม่เจ็บเลยอ่ะ ไม่มีความเจ็บเลยด้วย อันนี้แอบนินทาเตียงข้าง ๆ นะ ลูกร้องลั่นเลย เพราะหิวนม แต่ไม่ลุกไม่ได้ เจ็บแผล เราก็เลยหันไปดู ถามเค้าว่าเจ็บมากไม๊ เค้าบอกว่าเจ็บมาก ทีนี้เราก็เลยมานั่งนึกว่า "เอ๊ะ ตัวเราเองนี่ก็ผ่า ทำไมเจ็บวะ" นึกอยู่ครึ่งวัน ถึงบางอ้อเลยอ่ะ "ลูกไง" แหมตอนใกล้คลอดบอกว่าจะทิ้งนะ แต่พอคลอดเสร็จแล้ว ดุกว่าจงอางหวงไข่อีกอ่ะ

สำหรับเรานะ ลูกเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจ ให้เราได้สำนึกถึงความรู้สึกของแม่
ลูกทำให้เราใจเย็นลงมาเยอะ ลดทิฏฐิมากเลยนะ
เราเคยเป็นลูกอกตัญญูมาก่อน แต่ทุกวันนี้เราจะทำทุกอย่างเพื่อทดแทนคุณของแม่เราให้ได้มากที่สุด อะไรที่เราเคยทำให้เค้าช้ำ เค้าเจ็บ เสียใจ หรือว่าเสียหน้า เราก็พยายามจะทำให้เค้าภาคภูมิใจในตัวเรา ในสิ่งที่เราเป็น และทุกอย่างที่เราทำ เราอยากให้แม่ของเราได้เห็นเราประสบความสำเร็จก่อนที่ท่านจะจากไป เราจึงพยายามไง

ถึงวันนี้เราจะลำบาก เราเพิ่งจะเริ่มต้นใหม่ตอนอายุใกล้ 30 แล้ว เรามีภาระต้องรับผิดชอบ แต่สำหรับเราแล้ว แม่ไม่เคยเป็นภาระอะไรเลย แม่ไม่เคยทำอะไรให้เราไม่สบายใจ (ยกเว้นเวลาที่ท่านไม่สบายอ่ะนะ) แม่ของเราให้เรามาทั้งชีวิตแล้ว แม่ของเราปกป้องเรามาทั้งชีวิตแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เราทำจะถูกหรือผิด เราจะโกหกแม่อีกสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง แม่ก็รู้ แต่แม่เชื่อในทุกสิ่งที่เราพูด วันที่เราล้มแม่อยู่เคียงข้าง วันที่เราเจ็บแม่ก็ยังอยู่ข้าง ๆ แต่ถ้าถามกลับไปวันนั้นวันที่เราทำให้แม่เจ็บ ไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ แม่เลย ไม่เคยมีใครมาทำให้อะไรให้แม่ของเราเสียใจได้ เพราะแม่ของเราไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยอิจฉาใคร ไม่เคยอยากได้ของ ๆ ใคร แต่เรากลับทำให้แม่เสียใจได้นานเป็น 10 ปี เราถือว่าสิ่งที่เราทำวันนี้ มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเลยอ่ะ ไม่มีอะไรเลยที่แม่อยากได้ เพราะแม่บอกว่าเรายังไม่พร้อม
เราก็เลยคิดว่า เมื่อไหร่เราถึงจะพร้อมล่ะ คิดนะ คิดตามสิ่งที่แม่พูด ก็เลยได้รู้ไง คำว่าพร้อมน่ะ มันมาไม่ถึงหรอก เพราะตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ ความอยากของเราไม่มีวันสิ้นสุด พอเราได้ในระดับที่เราเคยได้ เราก็จะอยากได้มากขึ้น มากขึ้น มันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่เราตาย เราก็เลยได้คำตอบแล้วไง เราพร้อมสำหรับแม่แล้ว วันนี้แหล่ะที่เราพร้อม


ต้องบอกว่าทุกวันนี้เป็นคนขึ้นมาได้เพราะเ้ด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้นแหล่ะ
ต้องขอบคุณน้องปิงปองที่ทำให้แม่ มีจิตสำนึก
ต้องขอบคุณน้องปิงปองที่ทำให้แม่รักแม่
ต้องขอบคุณคุณกัลยาณีที่คอยให้โอกาสลูกคนนี้ตลอดมา
ต้องขอบคุณคุณกัลยาณีที่ให้โอกาสลูกทดแทนบุญคุณ

ทุกวันนี้ พอเรามีจิตสำนึกในพระคุณของแม่ อะไรหลาย ๆ อย่างมันจะละเอียดมากขึ้นนะ เหมือนเราได้เห็นภาพเดิม แต่ความละเอียดมันมากขึ้น อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เราสามารถรับความรู้สึกนั้นได้อ่ะ

เรามีความคิดในการสอนลูกอย่างนี้นะ คือเราต้องทำให้เค้าดูเป็นแบบอย่างก่อน ว่าสิ่งที่เราให้เค้าทำ เราก็ทำเหมือนกัน

เรามีความอดทนได้ เพราะลูกชายคนเดียว มันก็คงจะเฉกเช่นเดียวกับแม่ของเราที่ท่านไม่เคยหมดความอดทนกับเราเลย หลายครั้งที่เราขึ้นเสียง หลายครั้งที่เราชอบเถียง หลายครั้งที่เราบังคับท่าน แต่เราก็รักท่านนะ รักมาก ๆ ด้วย

เราจะทำให้ทุกวันที่เราได้อยู่กับแม่มีคุณค่า เพราะแม่ไม่ค่อยได้อยู่กับเรา แม่ต้องทำงาน ทุกวันนี้แม่จะ 70 แล้ว แม่เพิ่งจะหยุดทำงาน ต้องขอบคุณฟ้าที่ประทานโอกาสให้แม่ได้พักผ่อน และให้เราได้มีโอกาสดูแลแม่ของเรา

เราลองมองกลับกันดูสิ เรารู้สึกยังไง แล้วเราจะรู้

2 ความคิดเห็น: