วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความจริง




หลังจากผ่านไปเกือบ 30 ปี และแล้วก็ได้รู้ความจริง

เราก็สงสัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ นะทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่รักเราเลยอ่ะ ท่านรักแต่พี่ชายกับน้องชายอีก 2 คน แต่พวกป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ ก็บอกนะว่าเป็นเพราะบ้านของเราเป็นครอบครัวคนจีน เค้าก็เลยไม่ชอบลูกสาว เค้าก็จะรักลูกชายมาก ๆ ส่วนลูกสาวเค้าไม่เคยรักเลย ไม่เคยได้รับความอบอุ่น ไม่เคยได้ออกงานสังคม ไม่เคยได้รับการยกย่อง ไม่เคยมีใครรู้ด้วยซ้ำ ว่าเราเป็นลูกสาวของเค้า เราก็ได้แต่คิดว่าสักวัน ถ้าเราทำความดีต่อ ท่านก็คงจะรักเราบ้าง เมตตาเราสักนิด ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เราได้รับกำลังใจจากคนที่ได้ชื่อว่าพ่อกับแม่ในสูติบัตร

พอถึงวันที่เราได้ออกไปจากบ้านใหญ่ ไปเรียนหนังสือเพียงคนเดียวในกรุงเทพฯ ขนาดว่าเรียนดีมาก ๆ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเป็นห่วงเรา ไม่เคยโทรไปหา ไม่เคยไปเยี่ยม ถ้าท่านไปหาพี่ชายหรือน้องชายแต่ก็ไม่ไปหาเรา ไม่เคยไป และจะไม่มีวันไป เราก็คิดว่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น ตอนนั้นเรามีแฟนไง ทีนี้แฟนเราเค้าก็เป็นให้เราได้ทุกอย่าง เค้าเป็นคนที่ดีมาก ๆ เลยนะ รับฟังปัญหาของเราทุกเรื่อง ไม่เคยบ่นว่า มีแต่คอยเป็นกำลังใจให้ พอถึงวันที่เราต้องเลิกกับแฟน วันนั้นคือวันที่เราคิดว่า เราไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ ไม่มีแม้แต่พ่อหรือแม่ หรือบ้านที่จะกลับ

ตามประสาเด็กใจแตกไง ที่ขาดความอบอุ่น คิดแค่ว่า ถึงจะยังไงพ่อกับแม่เค้าก็ไม่เคยรักเรา เราก็จะไปหาคนที่เค้ารักเรา ด้วยตัวเราเอง เราลืมเอะใจคิดถึง "ป้าคนที่เลี้ยงดูเรามา" ตอนนั้นก็เที่ยวนะ หัวราน้ำไปเลย ไมสนใจเรื่องเรียนหรอก ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน ไม่รู้ว่าจะต้องทำเพื่อใคร

ถ้าวันนั้นเราได้รู้เช่นวันนี้ เราจะตั้งใจเรียนเพื่อ "ป้าคนที่เลี้ยงดูเรามา" เราจะไม่ทำให้เค้าเสียใจเลย แต่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้อีกแล้ว เรามีแต่วันนี้กับอนาคต ที่เราจะสามารถเลี้ยงดูแม่ของเรา บุพการีของเรา ที่เราเคยเรียกเค้าว่าป้า ท่านคือแม่ของเรา แม่ที่อดทนทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้มาเลยจนเวลาผ่านไปเกือบ 30 ปี

ลูก ๆ ของพ่อกับแม่น่ะเหรอ ได้ดีกันทุกคน เรียนจบปริญญาตรี มีหน้ามีตาในสังคม มีคนนับหน้าถือตา มีคนยกย่อง ในขณะที่เรากลับได้อยู่แค่ในมุมมืด ในเงาของคนเหล่านั้น

เราเคยรักพวกท่านและครอบครัวท่านมากนะ แต่วันนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว ชีวิตของเราพังพินาศเพราะทิฏฐิของคนเหล่านั้น เราอยากจะตะโกนใส่หน้าพวกเค้าเหลือเกินนะว่า "ถ้าไม่สามารถรักเราได้เหมือนลูก จะไปเซ็นต์ชื่อรับเราเป็นลูกทำไม พวกท่านทำลายชีวิตของเราทำไม ใครไปขอร้องให้พรากครอบครัวคนอื่นเค้าเหรอ แม่ของเราเข้มแข็งกว่าที่พวกท่านรู้จักนะ จนถึงทุกวันนี้พวกท่านก็ยังทำลายเรา"

พวกท่านไม่เคยส่งเสียเราเรียน เราได้เรียนเพราะเงินกงสีของย่า เราต้องตื่นมาช่วยย่าทำงาน กวาดบ้าน ล้างจาน ถูบ้าน ส่งของ ล้างห้องน้ำ ดูแลย่า แล้วลูก ๆ ของพวกท่านทำอะไรกันเหรอ เล่นเกมส์ไง ไปเที่ยวกับเพื่อนไง ทั้ง ๆ ที่อายุเท่ากัน

เราผิดไม๊ที่หมดความเคารพในตัวพวกท่าน บุพการีจอมปลอม

เราขอสาปส่ง จะคิดว่าเราอกตัญญูก็ได้นะ ถ้าคุณ ๆ มาเจออย่างแม่ของเรา แม่ของเราเป็นพี่ใหญ่ที่สุดของครอบครัว ทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงน้อง ส่งเสียน้องจนเรียนจบ แล้วก็ไม่เคยได้ไปสนุกสนาน เฮฮาที่ไหน ต้องอยู่เฝ้าบ้านขายของชั่วชีวิต จนอายุจะ 70 ปีแม่ก็ถูกบีบให้ออกมาจากมรดกของตระกูลชิ้นสุดท้าย ที่ครอบครัวนี้ยังไม่หมดตัว แต่ตัวแม่ของเราเองก็ไม่มีอะไรออกมานะ ในวันที่บ้านแตกสาแหรกขาด เพราะคนเฮงซวยครอบครัวเดียว

พี่น้องทุกคนต้องเดือดร้อน เพราะคนในครอบครัวนี้ ทุกคนบ้านแตกสาแหรกขาดจากที่เคยอยู่รวมกันก็ต้องแยกย้ายกันออกไป แต่ครอบครัวของพวกมันมีบ้านผุดขึ้นมาเยอะแยะ มีทรัพย์สินที่ได้จากการขายทรัพย์มรดก แต่ไม่แบ่งให้ใครสักแดงเดียว

ไม่รู้นะว่าเวรกรรมข้อใด ทำไมถึงทำให้แม่ของเราต้องมาเจอเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้

วันนี้เรารู้ความจริงแล้ว ถึงแม่จะไม่รวยเหมือนเมื่อก่อน แต่เราจะเลี้ยงดูให้แม่มีความสุข ให้แม่ได้รับความอบอุ่นจากลูกหลาน และความห่วงใย เราจะดูแลแม่ของเราที่เลี้ยงเรามาตลอดชีวิต โดยให้เราเรียกท่านว่าป้า ด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่ ให้คนบางคนได้ละอายในสิ่งที่ตนเองได้กระทำกับชีวิตผู้อื่น ชีวิตไม่ใช่ผักปลาที่จะสามารถซื้อมาแล้วอยากจะโยนไว้ตรงไหนก็ได้ เพราะเราก็มีหัวใจ มีความรู้สึก

เราไม่เคยมีปากมีเสียงอะไรเลย เค้าอยากให้เราทำอะไรก็ทำ ไม่อยากให้เสนอหน้าก็ได้ แต่วันนี้เราพอแล้วกับความอดทน กับเส้นด้ายเพียงเส้นเดียวที่จะยึดไว้ด้วยคำว่า "ญาติพี่น้อง" พอกันที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น