วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ผิด

" เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
เเม้นพูดดีมีคนเขาเมตตาจะพูดจา
จงพิเคราะห์ให้เหมาะความ "

เหมือนคำกล่าวนี้จะสอนให้รู้จัก "คิดทุกครั้งก่อนจะพูด" เพราะคำพูดไม่สามารถจับต้องได้ แต่คนฟังสามารถได้ยินและนำไปแปลความหมายให้เปลี่ยนไปได้ต่าง ๆ นาๆ
คนบางคน พูดดี พูดเพราะ ใครได้ยิน ได้ฟังก็รู้สึกเมตตาสงสาร แต่สำหรับบางคนที่พูดจาไม่มีเลยความมีสัมมาคารวะ มีแต่ความหยิ่งทะนง องอาจว่าเราแน่ เราเก่ง แล้วทีนี้ใครที่ไหนเค้าจะมาสงสารเราล่ะ ในเมื่อเราแสดงออกแล้วว่าเราเก่ง ใครที่ไหนจะมาช่วยเหลือ
เหมือนตัวเรานี่ไง สามารถพูดให้คนดี ๆ คนหนึ่งกลายเป็นคนเลวไปได้ในสายตาของหลาย ๆ คน พูดจาก 1 ให้กลายเป็น 10 ได้ และตัวเราเองยังสามารถหลอกตัวเราเองได้ด้วยซ้ำ (ขนาดตัวเราเองยังหลอกตัวเอง แล้วใครที่ไหนเค้าจะรู้ล่ะว่าเราหลอกลวง ก็ในเมื่อตัวเรา เรายังหลอกให้เชื่อในส่ิงที่เราทำได้เลย ว่าเราทำดี)
คำว่า "ความลับไม่มีในโลก" เพราะ ถึงแม้ไม่มีใครรู้แต่ตัวเราเองนี่แหล่ะที่รู้ แต่ถ้าแม้ตัวเราเองยังไม่รู้ล่ะ มันคืออะไร
ในวันนี้เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป ทุก ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป เราก็พยายามจะเปลี่ยนนิสัยอยู่ เราพยายามจะยึดติดในสิ่งที่เป็นความจริงให้ได้มากที่สุด แม้ความจริงเหล่านั้นจะเป็นความจริงที่เราจะต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เราก็ต้องยึดติด เราจะไม่หลอกตัวเราเองอีกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามทีเราหลอกตัวเองว่า "เรื่องที่เรารับไม่ได้เราก็จะหลอกตัวเองว่าเราไม่ได้ทำ" ทีนี้พอวันเวลาผ่านไป ช่วงเวลาเหล่านั้นในสมองของเราก็จะค่อยๆ หายไป เหมือนเราไม่เคยทำจริง ๆ มันเหมือนเป็นภาพในความฝัน ที่เบลอ ๆ แล้วก็ค่อย ๆ หายไปเองด้วยสิ
นี่ก็เป็นอีกทางหนึ่งนะที่เราใช้หลอกตัวเราเอง หลอกมาตลอด จนมาถึงทุกวันนี้ เราเลิกแล้ว เราพยายามอยู่กับคำว่า "สติ" อย่าพยายามให้ "สติ" หลุดลอยออกไป เพราะมันจะทำให้เราสามารถหลอกตัวเราเองได้อีกครั้งหนึ่ง
แน่นอนมนุษย์เกิดมาพร้อมตัณหา ใครบ้างไม่อยากมี ใครบ้างไม่อยากรวย เราก็อยาก เมื่อก่อนเราไม่คแร์หรอกนะ เราจะทำทุกทางถ้าทำให้เรามีเงิน แต่ยิ่งเรามัวเมาในตัณหามากเท่าไหร่ มันยิ่งทำร้ายเรามากเท่านั้น จนสุดท้าย เราก็ต้องกลับมาเดินในทางเดิม คือยึดในพระพุทธศาสนาให้มาก ๆ เดินทางสายกลาง ให้อภัยเยอะ ๆ อย่าไปอาฆาต พยาบาท เบียดเบียนใคร นี่คือสิ่งที่เราทำในวันนี้
แต่มันคงยังไม่เพียงพอ ชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเราเคยผิดศีลข้อ 4 มุสาวาทา เวระมณีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ (งดเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด รวมไปจนถึงการพูดจาไร้สาระ) เราทำผิดศีลไว้มากก็ได้ ทุกวันนี้ชีวิตของเราถึงเป็นเช่นนี้ ต่อให้สิ่งที่เราพูดจนแทบจะตะโกนออกไปเป็นความจริง ยังไม่มีใครเชื่อคำพูดของเราเลย
เราทำแต่ความดี ไม่ได้ไปป่าวประกาศให้ใครฟัง ก็เหมือนปิดทองหลังพระน่ะแหล่ะ ไม่อยากให้มีใครมารับรู้กับเราหรอก แต่เราก็พยายามนะ พยามยามจะยึดศีลข้อ 3 และ ข้อ 4 ไว้ให้มั่นคง แต่พอเราผิด เราพลาด เหมือนโดนซ้ำเลยอ่ะ
ทางออกสำหรับเรา ยังหาไม่เจอ
ชีวิตคู่ของเราก็ไม่มีความสุข
ชีวิตทางด้านการงานของเราก็ล้มเหลว
ชีวิตทางด้านการเงินก็ต้องประสบพบเจอกับมรสุมใหญ่หลวงนัก
ชีวิตของเราทำอะไรผิดมามากมายนัก แต่ตอนนี้เราก็เหนื่อยเหลือเกินแล้ว
เราพยายามเอาความดีเข้ามาช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เราไม่โทษฟ้าดิน หรือเทพ เทวดาต่าง ๆ หรอก แต่มันเป็นเพราะเวรกรรมของเราเอง เวรกรรมของเราคนเดียวที่มันหนักขนาดนี้ เราไม่สามารถบรรเทามันลงไปได้มากกว่านี้ ตอนนี้เราก็เลยต้องรับไปก่อนในผลแห่งกรรมที่เราได้เคยกระทำเอาไว้ แค่ในชาตินี้ก็หนักหนากสาหัส สากรรจ์แล้วที่เราได้กระทำไว้กับพ่อแม่ ญาติพี่น้องทั้งหลาย รวมไปจนถึงคนรักของเราในอดีต (เราผิดจนไม่น่าให้อภัย แต่ทุก ๆ คนก็ให้อภัย ให้โอกาสเราเสมอ) ในวันนี้ที่เราต้องเจอเวรกรรมนี้ เรารู้นะว่าเกิดจากอะไร แล้วเราก็ก้มหน้ารับชดใช้ในสิ่งที่เราได้เคยพูดจาทำลายใครหลาย ๆ คนไว้เมื่อในอดีต

วันนี้เวลาที่เราทำความดี เราก็ขอให้ความดีของเราเหล่านั้นจงส่งผลไปให้ถึงกับเจ้ากรรมนายเวรของเรา แค่ในชาติปัจจุบันนี่ก็เยอะแยะแล้ว ถ้าไปนับชาติอดีตด้วยก็ เหมือนกับสมควรแล้วแหล่ะ ที่วันนี้เรามีชีวิตเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังดีนะ ที่ี่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายยังเปิดทางให้เราได้มีทางเดิน มีช่องทางในการทำมาหากิน มีเงินมาเลี้ยงดูบุพการี และบุตร แม้จะไม่่มากมาย แต่ก็พออยู่ได้
เมื่อวานเราหมดแรง แต่วันนี้เรามีแรงสู้
วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน
พรุ่งนี้ก็จะดีกว่าวันนี้
วันนี้เรารู้จักแล้วกับคำว่า "พอดี และ พอเพียง"


เราเชื่อในเรื่องของเวรกรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น