วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันที่ลาจาก


และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราทะเลาะกับสามี ก็ไม่เชิงนะถ้าจะเรียกว่าทะเลาะ แต่เอาเป็นว่าเค้าด่าว่าเราฝ่ายเดียวละกัน เพราะตัวเราทำผิดเต็มประตู เราก็เลยไม่เถียง แต่ก็ดีนะที่มีการทะเลาะครั้งนี้เกิดขึ้น มันทำให้เราตาสว่างขึ้นเลยแหล่ะ ก่อนที่เค้าจะออกไปจากบ้าน เรากำลังจะลงมาเรียกเค้า ขอร้องให้เค้าอยู่ แต่เรากลับได้ยินเสียงเค้าคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ ผู้หญิงคนที่เค้าบอกกับเราว่าเลิกแล้ว กล้าสาบานว่าเลิกกันแล้ว เค้าพูดว่า
"เค้าจบแล้วนะ ตัวเองจะเชื่อไม๊ เค้าไม่มีเงินเลย ตัวเองเอาเงินออกมาให้เค้าหน่อยได้ไม๊ เค้าไม่เอาบัตรหรอก ตัวเองออกมากดเงินให้เค้าหน่อยสิ อืม ต่างคนต่างอยู่ดีแล้วแหล่ะ"
อืม
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ "คุณจะทำยังไง"
เราอึ้งไปเลยนะ แล้วก็งงเหมือนตัวเองไม่รู้ตัว เหมือนเบลอ ๆ งง ๆ เราก็เลยเดินออกมาให้เค้าเห็นนะว่า เรารู้นะ เค้าจะได้ไม่ต้องโกหกหลอกลวงเราอีกไง แล้วก็ไปส่งเค้าออกจากบ้าน เค้าถามว่า
"ขอยืมรถไปก่อนได้ไม๊ พรุ่งนี้จะเอามาคืน"
"เราก็ตอบไปว่า ได้" แล้วเค้าก็จากไป
เราร้องไห้นะ ร้องแบบว่าเหมือนเราโง่อ่ะ เหมือนเราถูกหลอกตลอดเวลาที่เค้าอยู่ที่บ้านเค้าทำเหมือนกับว่าเค้ารักเรา เค้ารักลูกมาก แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย เค้าโกหกเรา เค้าหลอกลวงเรา เค้าทำให้เราเชื่อใจเค้าอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เรารู้อยู่เต็มอกนะว่าเค้ายังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมเมื่อถึงวันที่เราต้องเผชิญหน้ากับความจริง เรากลับแทบขาดใจขนาดนี้ เรารู้สึกเหนื่อย เรามองไม่เห็นอนาคตเลย เราจะอยู่ยังไง ในใจเรายังแอบหวังให้เค้ากลับมานะ แต่ถ้าไม่มายังไงเราก็ต้องผ่านไปได้จริงไม๊
เรากินยาคลายเครียดตลอดเลยนะ เค้าไปจากเราตั้งแต่วันอาทิตย์จนถึงทุกวันนี้เรากินทุกวันเลย เราตื่นมากินข้าวแล้วก็กินยานอนหลับ เราไม่อยากคิด เราอยากจะฝัน ฝันต่อไป เราไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริง
แต่ไม่เป็นไรแล้วนะวันนี้เราดีขึ้นแล้ว เราถึงสามารถเขียนบทความนี้ได้ไง เรากำลังจะยืนขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วยตัวของเราเอง เราต้องทำให้ได้เพื่อแม่ และเพื่อลูกของเรา
พรุ่งนี้เราจะไปบวชชีพราหมณ์กับแม่และลูก เราจะพยายามอยู่วัดให้ได้ถึง 7 วันนะ
เราอยากให้ชีวิตของเราดีกว่านี้
เราอยากเลี้ยงดูแม่ให้ได้ดีกว่านี้
เราอยากเป็นแม่ที่ดีของลูกให้ดีกว่าทุกวันนี้
แต่เราไม่สามารถทำได้ เราทำได้แค่นี้
นี่คือ เราทำดีที่สุดแล้ว
เราจะลุกขึ้นครั้งนี้ จะเป็นการลุกขึ้นเพียงลำพัง โดยมีคนที่เค้ารักเราเฝ้าดูอยู่ เราจะลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อลูก เพื่อแม่ เราต้องทำได้

เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ
เวลาจะช่วยรักษาแผลใจให้เรา
ทุก ๆ เวลาที่เราตื่น ความทรงจำจะทำร้ายเราเสมอ นี่คือเหตุผลที่เราพยายามกินยานอนหลับตลอดเวลา แต่ครั้งนี้ที่เราไปวัด เราจะพยายามสวดมนต์ให้ได้มาก ๆ ปฏิบัติธรรมให้ได้เยอะ ๆ เราจะพยายาม

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กฎแห่งกรรม


ชาตินี้ เราจำได้นะว่าเรากรรมเอาไว้เยอะมาก ๆ นี่ขนาดจำไม่ได้นะว่าชาติที่แล้วเราไปทำอะไรให้ใครต้องเจ็บช้ำน้ำใจไว้บ้าง เรายังต้องประสบพบเจอกับวิบากกรรมที่เรายังงงอยู่เลยนะว่า วันนี้เราผ่านทุกอย่างมาได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถอยู่รอดได้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่เราต้องเจอมา อาจจะไม่หนักเหมือนของคนอื่น ๆ แต่เราก็ได้ข้อคิดจากสิ่งที่เราได้ประสบ พบเจอ จนถึงทุกวันนี้ เราผ่านอุปสรรคและปัญหาของชีวิตมาก็เยอะแล้วนะ

เราอยากให้เรื่องของเรเาป็นอุทาหรณ์ให้หลาย ๆ คนอย่าใช้ชีวิตอยู่บนความประมาท ในที่นี้คือ เราอยากให้เพื่อน ๆ ระมัดระวังการดำเนินชีวิตให้มากขึ้น ให้เพื่อน ๆ พึงกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด หรือให้เพื่อน ๆ กลัวอนาคต แต่ไม่ใช่ว่ากลัวจะไม่กล้าทำอะไรนะ คือ ถ้าเรากลัวที่จะทำบาป หรือกลัวเวรกรรม มันก็จะทำให้เราไม่กล้าทำสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ไม่ดี

ไม่ใช่ว่าวันนี้เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วนะ ตัวเราในวันนี้ก็ยังไม่ค่อยจะเอาตัวรอดเท่าไหร่เลย เรายังต้องพึ่้งพระพุทธศาสนา เรายังต้องสวดมนต์ เรายังต้องทำบุญ และที่สำคัญเราต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้วนี่สิ ที่ทำให้เราคิดได้ว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดมันยังไม่ถูกต้อง เรายังมาไม่ถูกทาง

เราทำบุญ เราทำทาน แต่ทำไมจิตใจของเราถึงไม่มีความสุข บางทีเราหงุดหงิดใส่แม่ และหลายครั้งที่เรานำอารมณ์ไปใส่ไว้กับลูก วันนี้เรารู้สึกได้ และคิดได้ว่า ทำไมล่ะ เพราะอะไร แล้วสิ่งที่เราทำมันไม่ได้พัฒนาเราเลยเหรอ ทำไมจิตใจของเราถึงสกปรกขนาดนี้ เราเพิ่งคิดได้วันนี้นะ เมื่อตอนบ่าย ๆ นี่เอง บางทีลูกกับแม่ของเรายังไม่ได้ทำอะไรให้เราเดือดร้อนเลยนะ แต่ทำไมเราถึงต้องใส่อารมณ์กับเค้าล่ะ เพราะเราไม่สามารถนำไประบายให้ใครฟังได้ เราถึงใส่อารมณ์กับคนที่เค้ารักเรา

เรามีสตินะ ตอนที่เราโกรธ ตอนที่เราหงุดหงิด เราพยายามอยู่ เพื่อที่จะระงับอารมณ์ตรงนี้ให้ได้ ถ้าเราทำได้ เราก็จะสามารถก้าวผ่านสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตไปได้อีกเช่นเดียวกัน ปัญหาที่เราก้าวข้ามผ่านมานั้นจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ เสมอ เมื่อเราสามารถผ่านพ้นมันมาได้แล้ว และปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังรอเราอยู่ข้างหน้านั้น จะใหญ่กว่าปัญหาที่ผ่านมาเสมอเช่นเดียวกัน

ข้อคิดที่เราได้มาจากการดำเนินชีวิตประจำวันนะ ได้มาเอง จากการวิเคราะห์และพิจารณา เราจะพยายามทำให้ตัวเองไม่ลืม ไปใส่อารมณ์กับคนรอบข้างอีก ในเมื่อคนรอบข้างที่เราใส่อารมณ์กับพวกเค้า คนเหล่านั้นคือคนที่รักเรา และให้อภัยเราเสมอ เราก็จำเป็นต้องแก้ไขก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปสำหรับคนที่รักเรา

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ละครชีวิต


เราไม่อยากเป็นผู้ทำลายชีวิตครอบครัวของเราเอง
เราไม่อยากให้ลูกต้องกำพร้าพ่อ
เราไม่อยากทำลายความผูกพันที่เรามีกับสามีมานานกว่า 6 ปี
เราไม่อยากให้ชีวิตของเราต้องเปลี่ยนแปลงไป

ถึงแม้สามีของเราจะไม่ใช่คนรวย หรือเป็นคนดีสักเท่าไหร่
ถึงแม้เค้าจะเป็นคนเจ้าชู้ ไม่ค่อยขยันทำมาหากิน
ถึงแม้เค้าจะไม่ค่อยรักเรา หรือรักลูกสักเท่าไหร่
แต่ในวันที่เราไม่มีใคร สามีของเรา ผู้ชายที่ไม่เอาไหนในสายตาของใคร ๆ ก็ยืนอยู่เคียงข้างเราเสมอ วันนี้เราได้ผ่านบททดสอบอีกบทหนึ่งของชีวิตได้แล้ว นั่นคือการที่สามีนอกใจ เจ้าชู้ และไม่มีความเป็นผู้นำ ถ้าถามว่า 3 รายการนี้สำคัญมากไม๊สำหรับชีวิตครอบครัว เรามองว่าถ้าสำหรับผู้หญิงคนอื่นคงจะสำคัญมาก ๆ แต่สำหรับเราแล้ว มันไม่ได้สำคัญเลยจริง ๆ เราเพิ่งได้รู้ซึ้งถึงตัวตนของสามีเราในวันนี้นี่เอง
เค้าไม่ได้เป็นผู้นำให้กับชีวิตของเราหรือของลูกนะ แต่เค้าจะอยู่ข้าง ๆ เราและลูกเสมอ ชีวิตครอบครัวของเรามีอายุมานานกว่า 6 ปีแล้ว จริง ๆ เราเคยคิดอยากจะเลิกกับเค้านะ แต่เราไม่สามารถทำได้ เราก็เฝ้ารอเวลาให้เค้าเลิกจากเราไปเอง เพราะทุกวันนี้เค้าก็ยังมีผู้หญิงของเค้าอยู่ แล้วเราก็ไม่เข้าใจว่าเค้าจะมีเราไปทำไม ตอนนี้เราก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม เพียงแต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดสำหรับชีวิตครอบครัวของเราในวันนี้ก็คือ "เรามีความสุขกับสามีและลูกในวันนี้ พรุ่งนี้่จะเป็นยังไงเราไม่รู้ ถึงแม้วันนี้เราจะไม่มีเงินตรา หรือญาติพี่น้องเหมือนเช่นวันวานอีกแล้วก็ตามที แต่ทำไมวันนี้เรากลับรู้สึกได้ถึงความสุขก็ไม่รู้นะ เราต้องทำงานหนัก สามีของเราก็ต้องทำงานหนัก เราแทบจะไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันนักหรอกนะ แต่ทำไมเราถึงได้รู้สึกมีความอบอุ่นขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้เหมือนกัน
มันเป็นความสุขจริง ๆ ที่ไม่ต้องผ่านการใส่หน้ากาก ฉาบไว้บนใบหน้าเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ต้องบอกว่าชีวิตครอบครัวของเรานั้น มันก็คงจะเหมือนกับอีกหลาย ๆ ครอบครัวที่เค้าเรียกว่า "สุข ๆ ดิบๆ" สินะ

ระยะเวลา 6 ปี มันอาจจะนานสำหรับใครบางคน แต่สำหรับเรา ระยะเวลา 6 ปีที่ผ่าน เราอยู่ด้วยกันเหมือนมันไม่นานเลยนะ เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นสำหรับหลาย ๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์ เพราะเราอยู่ร่วมกันในแบบที่เรียกว่า "เพื่อน" มากกว่าการอยู่ร่วมกันฉันสามีและภรรยา
เมื่อเราท้อ เราก็อยากจะเลิกกับสามี เพื่อไปหาอนาคต หรือสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่แน่ว่าจะดีกว่าหรือไม่ ในวันนี้เราก็ไม่สามารถยืนยันได้หรอกนะว่า เรากับสามีจะยังไม่เลิกกกัน เพราะเราคงไม่มีวันเลิกกกับเค้า แต่เราไม่รู้ว่าเค้าจะเลิกกับเราเมื่อไหร่ เค้ายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งคบกันอยู่ และเราก็ไม่รู้ด้วยว่ามันลึกซี้งเพียงใด ในขณะที่เราไม่มีใครเลย เรามีแค่แม่ กับลูกเท่านั้น เราถึงบอกไงว่าเราไปจากเค้าไม่ได้หรอก แต่เราไม่รู้ว่าเค้าจะไปจากเราเมื่อไหร่
พรุ่งนี้จะเป็นยังไงเราไม่รู้ เราแค่อยากบอกว่าวันนี้ เรามีความสุขมาก ๆ กับการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้หรอกนะว่ามันจะจบยังไง เพราะเราไม่กล้าคิดถึงตอนจบ ถ้ากลางเรื่องมันมีความสุข เราก็ควรมีความสุขกับมันมาก ๆ จริงไม๊

หวัง


วันนี้เรามีเรื่องมากมายอยากมาระบายไว้ในบทความเพื่อเพื่อน ๆ จะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์นะ เพราะสิ่งที่เราเขียนเล่าไว้ในบทความพวกนี้ ทุก ๆ เรื่องเกิดจากชีวิตของเราจริง ๆ ไม่ได้มีการแต่งแต้มเติมสีแต่อย่างใด อยากให้เพื่อน ๆ อ่านไว้เพื่อจะได้เป็นอุทาหรณ์ในการดำเนินชีวิต เพื่อจะไม่ประมาทกับชีวิตเหมือนกับเรา

เนื่องจากตอนนี้เราได้เป็นนางฟ้าตกสวรรค์อีกแล้ว (คำว่า "อีกแล้ว" แปลว่า ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก) นี่เป็นครั้งที่ 3 หรือ 4 แล้วแหล่ะที่เราตกอับ ช่วงนี้เราเลยถามตัวเองบ่อยอยู่เหมือนกันนะว่า "พรุ่งนี้เราจะอยู่ยังไง" "เราจะมีลูกค้ามาให้เรานวดรึเปล่า" เรามีอาชีพเป็นหมอนวด (หมอนวดจริง ๆ นะ หมอนวดแผนไทย หมอนวดสปา) ตอนนี้เราทำที่บ้านให้สามารถรองรับลูกค้าได้สะดวกขึ้นกว่าเมื่อก่อน ที่ปล่อยให้ลูกค้านอนกับพื้น วันนี้เราก็สั่งที่นอนพร้อมเตียงเรียบร้อยแล้ว และมีตู้อบสมุนไพรด้วยแหล่ะ กั้นม่านไว้ให้เป็นสัดส่วน แต่ถ้าถามเรานะว่าเราพอใจรึเปล่า กับการลงทุนครั้งใหม่ เราก็ไม่ได้พอใจหรอกนะ แต่เราไม่ได้มีทุนมากมายนี่นา เราหาได้แค่นี้ เราก็ทำแค่นี้ พยายามทำให้ดีที่สุด ตั้งใจทำให้มีลูกค้าเยอะ ๆ

ตอนแรกที่คิดจะประกอบอาชีพนี้ คิดไว้แล้วนะว่า เป็นอาชีพที่เหนื่อย ที่หนัก แต่ค่าตอบแทนค่อนข้างคุ้มค่า ถ้าเราได้นวดลูกค้าบ่อย ๆ ฝีมือของเราก็จะพัฒนาไปได้ไกลเลยทีเดียว แต่ช่วงนี้ลูกค้าไม่ค่อยมีเลยอ่ะ และเราก็เป็นคนใหม่มาก ๆ ในวงการหมดนวดในจังหวัดชุมพรแห่งนี้ เรายังไม่ค่อยมีฝีมือเลย เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ ๆ รุ่นป้า ๆ ทั้งหลาย เรายังเด็กจริง ๆ ตอนนี้ก็ต้องฝึกฝีมืออีกไกลเลยแหล่ะ แต่เราก็ดีใจนะที่ฝีมือของเราพัฒนาไปเรื่อย ๆ จริง ๆ เพราะเหมือนมีเหตุให้มีคนบอกเคล็ดลับบ้าง บอกเทคนิคต่าง ๆ บ้าง เราก็จำของคนนั้น ผสมกับของคนนี้ไปเรื่อย ๆ ทีนี้เราก็นำมาประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง

เรายังไม่รู้เลยนะว่า เราสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดของปีนี้มาได้อย่างไร แต่วันนี้เราผ่านมาแล้ว และรู้สึกว่าเราแข็งแกร่งขึ้นมาก ในวันนี้เราสามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเองแล้ว แม้ว่าเราจะยังยืนได้ไม่แข็ง แต่เราก็ได้ยืนแล้ว พอเราถามว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร เราก็ยังไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร เรายังงงเลยนะว่าเราผ่านอดีตมาได้ยังไง แล้วอนาคตล่ะ เราจะผ่านไปได้ไม๊ นี่คือคำถามที่เราถามตัวเองบ่อย ๆ

คำถามที่เราถามกับตัวเองบ่อย ๆ มักจะไม่ค่อยมีคำตอบให้กับเราหรอกนะ เพราะเราไม่กล้าคิด ไม่กล้าหวัง เรากลัวถ้ามันจะทำให้เราพลาดอีกครั้ง หรือแค่ทำให้เราผิดหวัง เราก็กลัว

เรากลัวว่า "ถ้าหากเราผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง เราอาจจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ได้ เราอาจจะไม่สามารถรับความผิดหวังใด ๆ ได้อีกต่อไปแล้ว เราก็เลยพยายามทำให้ทุก ๆ วันของเราดีที่สุด และมีค่าที่สุด เราจะรักแม่ของเรา และเราจะรักลูกของเราให้มาก ๆ ให้ทุก ๆ วันเป็นวันที่มีค่าที่สุดสำหรับเรา ถามว่าวันนี้เราเหนื่อยไม๊ เราอยากจะเหนื่อยนะ เพราะเหนื่อยกายมันแปลว่าเราจะได้เงินมา แต่ถ้าเราเหนื่อยใจ เราคงไม่ได้เงินกลับมาหรอก"

เราเหนื่อยใจเพราะ เรามัวแต่คิดไง ตอนนี้เราก็เลยไม่คิด เราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยที่เราไม่ได้ไปฝืนอะไรเลย เราแค่ปล่อยให้มันเป็นไป และเราก็วางตัวของเราให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตรงนั้นดีกว่า

นี่คือ ประสบการณ์ที่เราเพิ่งผ่านมาหมาด ๆ จากเดือนกรกฎาคม จนถึงวันนี้

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผู้ชายที่มีแต่ "ให้"


เมื่อ 3 วันก่อน เรามีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นคนที่สอนให้เรารู้จักกับคำว่า "รัก" และ "ความอดทน" เค้าเป็นคนรักคนแรกของเราเอง และเป็นผู้ชายคนแรกที่รักเราจริง ๆ รักในแบบที่เราเป็น ไม่เคยขอให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเค้า ถึงแม้เวลาแห่งการเลิกรากันได้ย่างเข้าสู่ปีที่ 7 แล้วก็ตามที แต่พอเราได้มีโอกาสคุยกับเค้าอีกครั้ง เรากลับรู้สึกเหมือนกับว่าเค้าไม่เคยหายไปเลย เค้าไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของเราเลย ถึงแม้เราจะพยายามหลอกตัวเองมาตลอด เราหลอกตัวเองว่า "เราลืมเค้าไปแล้ว" "เราไม่เคยสนใจเค้าเลย" แต่ทุกครั้งที่เราขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าบ้านเค้า เราต้องหันไปมอง หรืออย่างน้อยต้องเหลือบไปดูสักนิดว่า "เค้าอยู่รึเปล่า"

พอเค้าพูดดีกับเรา มันทำให้เรารู้สึกสดชื่นจริง ๆ นะ
รู้สึกเหมือนแผ่นดินที่แห้งแล้ง ได้รับน้ำฝนเพียงเล็กน้อย แล้วรู้สึกอิ่มเอมในจิตใจ แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตามที
ในวันนี้เค้าผู้แสนดีของเรา ยังไม่ได้แต่งงานเลย แต่เค้ามีผู้หญิงมากมายที่รายล้อมรอบตัวเค้าอยุ่ แล้วจะให้เรากล้าที่จะเสนอหน้าเข้าไปหาเค้าเหรอ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นของที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว และเป็นของที่มี่ตำหนิ มันจะไปสู้อะไรกับสาว ๆ สวย ๆ ที่รอให้เค้าเลือก

เค้าเป็นคนรักคนแรกของเรา มันก็คงจะยากมั้ง ที่เราจะสามารถลืมเลือนเค้าไปได้ แม้ระยะเวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตามที
เรายังจำวันที่เราทำให้เค้าเจ็บปวดได้เลย
เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
เราเองที่เป็นคนใฝ่ต่ำ
เราเองที่เป็นผู้หญิงที่มั่วมาก ๆ
เราเองที่ทำลายอนาคตของตัวเอง
เราเองที่ทำให้คนที่รักเราต้องเจ็บช้ำ
และเราเองที่ทำลายความฝันของพ่อกับแม่

เราทำลายทุกอย่างลงด้วยความความถือดี
ไม่มีดีจะอวดหรอกนะ แต่อวดดี
เราถือทิฏฐิ ว่าครอบครัวฉันก็มีแล้วทำไมฉันจะต้องง้อ ผู้ชายที่เค้าไม่เคยมีเวลาให้กับฉันเลย (แต่จริงๆ แล้วเค้าเป็นคนที่ตั้งใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการทำงาน หรือแม้แต่ความรู้สึก)
เค้าเป็นลูกคนรวยนะ ความตั้งใจจริงของเค้าทำให้เค้าได้ใบปริญญากลับมาให้พ่อกับแม่ได้ชื่นชม แต่เราล่ะ มีอะไรให้พ่อแม่ได้ชื่นชมบ้าง ไม่มีเลย เราเอาลูกกับสามีกลับมาที่บ้าน สร้างความอับอายให้กับพ่อแม่เป็นอย่างมาก

เราในอดีต ไม่เคยสนใจคนรอบข้าง เราสนใจแค่ความรู้สึกของตัวเราเองเท่านั้น
เรามีอะไรหลาย ๆ อย่างอยากจะบอกเค้าที่แสนดีคนนี้เหลือเกินนะ
ว่า
"เราขอโทษนะ เวรกรรมทั้งหลายที่เราเคยทำให้เค้าเจ็บปวดและช้ำใจนั้น ในวันนี้เราได้รับผลแห่งการกระทำนั้นแล้ว เราเจ็บ เราปวด และที่สำคัญเราไม่มีหนทางอื่นให้เลือกเดินอีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนเราสามารถปฏิเสธในสิ่งใด ๆ ก็ตามทีเราไม่อยากทำ หรือแค่คิดว่ามันจะเหนื่อย เราก็ไม่ทำแล้ว แต่ในวันนี้ วันที่ไม่มีมรดก หรือเงินกงสีเหลือให้เราอีกแล้ว เราจำเป็นต้องก้มหน้าทำงาน ที่เราเลือกนี้ต่อไป เพื่อคนที่เรารักเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นลูก หรือแม่ของเรา ในวันนี้แม้เราจะเหนือ่ยแสนสาหัสเพียงใด เราไม่สามารถหยุดได้ เราไม่สามารถพักผ่อนได้อีกต่อไปแล้ว
แม้เราจะเหนื่อยเพียงใดก็ตาม เราต้องหันไปมองคนข้างหลัง ซึ่งเป็นคนที่รักเรามาก ๆ ไม่เคยทำร้ายเราเลยแม้สักครั้งเดียว เราต้องหาเลี้ยงพวกเค้าให้ได้ แม้จะผ่านไปด้วยความยากลำบากเพียงใดก็ตาม เราต้องทำให้ได้"
เราอยากบอกเค้าคนนั้นเหลือเกิน

"เค้าจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป และความทรงจำที่มีเค้าอยู่นั้น ล้วนแต่เป็นภาพที่งดงามทั้งสิ้น เพราะระยะเวลากว่า 7 ปีได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วจริง ๆ ว่าเราไม่สามารถลืมเค้าได้เลย"

มันเป็นเหมือนตราบาป ที่เกาะติดในใจของเรามาตลอดในความผิดที่เราได้ทำไว้กับเค้า และในวันนี้สามีของเราก็ทำกับเราแบบนั้นเช่นกัน มันเหมือนกระจกที่ส่องให้เรารู้ว่า ผู้ชายแสนดีคนนั้นเค้ารู้สึกเช่นไรในวันที่เราทำร้ายเค้า แต่ระยะเวลาที่เราได้ทำร้ายเค้านั้นมันช่างสั้นนัก ในขณะที่สามีของเรานอกใจเรามรตลอดเป็นระยะเวลา 6 ปีนับตั้งแต่วันที่เราคลอดลูกชายได้ 6 เดือน จนตอนนี้ลูกชายของเราเกือบ ๆ จะ 5 ขวบ
เค้าไม่เคยหยุดได้เลย ไม่เคยเลยจริง ๆ