วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

ยังไม่จำ



พอแท้งได้ประมาณ 3-5 วัน แฟนของเราก็เป็นคนดีมาก ๆ เลยนะ อยากจะหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่งให้เหมือนกับชาวบ้านเค้าสักครั้งก็เลยไปสมัครงานวิ่งรับเหมากระเบื้องจากโรงกระเบื้อง UMI ที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี
รู้ไหมว่าเราแท้งลูกได้ 7 วัน เราต้องไปยกกระเบื้่องที่หนักมาก ๆ เลยนะ ครั้งหนึ่งที่ไปด้วยกันก็ยกกันแค่ 2 คนทั้งคันรถ (เป็นรถหกล้อค่ะ) หนึ่งกล่องหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัมมั้ง จำไม่ไดแล้วเพราะนานมาก ๆ แล้วอ่ะ เกือบ 5 ปีแล้วด้วย เราเป็นคนยกส่งให้แฟน ส่วนเค้าจะยกต่อเข้าไปในร้าน แล้วก็เรียง จะทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าจะหมดคันรถ (ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกลำบากหรือรู้สึกว่าห่างกันมากเหมือนตอนนี้เลยนะ รู้สึกว่าถึงจะไม่มีเงิน แต่คือเราอยู่ด้วยกัน 2 คนไง ไม่มีภาระอะไรให้ต้องเป็นห่วง นอนก็นอนในรถ กินก็กินในรถ) หรือว่าตอนนั้นเค้ายังไม่ออกลายก็ไม่รู้เหมือนกัน
ทำอยู่ประมาณ 6 เดือนได้มั้ง ช่วงหลัง ๆ เราไม่อยากกลับไปอยู่ร่วมบ้านกับครอบครัวของเค้าแล้วก็เลยชวนเค้ามาหาห้องเช่าอยู่ด้วยกันแถว ๆ โรงงาน มันก็ดีนะ คืออยู่กันแค่ 2 คน ลำบากก็ลำบากกันแค่ 2 คนจริง ๆ อดก็อดเหมือนกัน แต่วันนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ทุกวันนี้มันมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างมาทำให้เราสองคนค่อย ๆ ห่างกันออกไปเรื่อย ๆ จนบางครั้ง เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยทั้ง ๆ ที่เราอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
จำได้ว่าครั้งแรกที่ออกไปทำงานกับเค้า ได้นั่งไปในรถ เรารู้สึกดีมาก ๆ เลยนะ ได้ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ มากมาย ถึงแม้ว่าเราจะไปทำงานเหมือนกรรมกรก็ตามที ถึงแม้เราจะเหนื่อย แต่เราก็เหนื่อยด้วยกัน เรามีแฟนคอยอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา เค้าจะปกป้องเราทุกอย่างนะ
คืนแรกที่นอนในรถ ตอนนั้นเพิ่งจะแท้งลูกก็นั่งรถเดินทางไกลแล้ว และรถก็ไม่ได้นิ่มเหมือนรถเก๋งนี่นา แต่เราก็ไม่ได้คิดเรื่องตกเลือดหรืออะไรหรอกนะ เราคิดแค่ว่า อยากทำงานอะไรก็ได้ที่ทำแล้วได้เงินมีความสุข ก็จะทำ โดยเฉพาะมีแฟนเป็นผู้นำ เราก็รู้สึกดีมาก ๆ เลยนะ เหมือนเราจะได้ไม่ต้องคิดแล้วไง เรามีเค้าเป็นผู้นำ ทีนี้เราก็เป็นผู้ตามที่ดี แค่นั้นเอง
ตอนนั้นจอดอยู่ตรงสะพานลอย เป็นโรงงานใหญ่ ๆ เกี่ยวกับอะไหล่คอมพิวเตอร์ ก่อนจะถึง จังหวัดนครราชสีมา แฟนเราเค้าขับต่อไปไม่ไหว เค้าก็จอดนอนตรงนี้แหล่ะ ซึ่งพอเค้าหลับ เราก็จะต้องเปลี่ยนมานั่งแทน เพราะเค้าจะนอน แล้วเป็นรถตอนเดียวไง (ไหนจะเสื้อผ้า กระติกน้ำแข็งอีกล่ะ) เราก็ต้องเสียสละให้เค้านอน เพราะเรานอนมาตลอดทางเลยแหล่ะ
ช็อตเด็ดอยู่ตรงนี้ คืนนั้นเราก็ฝันนะ ฝันว่ามียายแก่คนหนึ่ง เค้าเดินมาเคาะกระจก เค้าบอกให้เราเปิดกระจกให้เค้าหน่อย เค้ามาตามให้เราไปหาลูก ลูกร้องใหญ่แล้ว ลูกร้องหาแม่
แล้วหัวอกคนเป็นแม่ล่ะ ที่เพิ่งสูญเสียลูกไปน่ะ เราก็ยังเหมือนกับผูกพันกับลูกด้วยแหล่ะ "ยายบอกว่าให้เปิดประตูรถลงมาสิ พยายามคะยั้นคะยอให้เปิดประตูให้ได้เลยนะ แต่เราไม่ได้เปิด กำลังฟังเสียงเด็กร้องไห้อยู่ ก็เอะใจนิดหนึ่งแล้วแหล่ะ กำลังเอื้อมมือจะไปเปิดประตู ในความฝันนะ" แต่ทีนี้ไม่รู้เพราะอะไร แฟนของเรา "เค้าก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาเลยนะ บอกว่าจะต้องขับรถไปแล้วแหล่ะ เดี๋ยวไปไม่ถึงหน่วยงาน ซึ่งเป็นตอนบนของภาคอีสาน"
เราก็เลยสะดุ้งตื่นเหมือนกัน "ก็เลยตกใจ แล้วเล่าให้เค้าฟัง เค้าบอกว่าดีนะเนี่ยที่ไม่ได้เปิดประตูลงไป เพราะถ้าเปิดลงไป ตัวเราเองอาจจะมีเหตุให้ต้องตายก็ได้ อะไรประมาณนี้แหล่ะ พอเล่าแล้วก็รู้สึกกลัว ๆ เหมือนกันนะเนี่ย"

ทุกวันนี้ยังจำหน้ายายคนนั้นได้อยู่เลยอ่ะ

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ท้อง (แท้ง)1


พอถึงวันที่คุณหมอนัด เราก็ไปตามนัดนะ แต่แฟนให้เราไปคนเดียว ขนาดเราแท้งลูกนะ ลูกยังอยู่ในท้องอยู่เลย เค้าไม่กลัวเลยนะว่าเราจะตกเลือด หรือว่าเราจะต้องไปเจอกับอะไรที่มันอันตรายรึเปล่า เค้าไม่สนใจเราเลยด้วยซ้ำ
แต่วันที่เค้ารู้นะ พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็รีบมาหาที่โรงพยาบาลทันทีเลยเหมือนกันนะ เค้าโทรมาตาม แต่เราไม่อยากคุยเราก็ให้เค้าคุยกับพยาบาลว่า "ลูกตายแล้ว ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล"
เค้าไม่เชื่อนะ เค้าคิดว่าเราไปทำแท้งมา เค้าโทษเราที่ลูกตายด้วยแหล่ะ
พอถึงวันนัดคุณหมอก็มาคุยที่เตียงนะ มาบอกว่าถ้าเด็กยังไม่หลุดก็คงจะต้องผ่าตัดแล้ว พรุ่งนี้จะผ่าตัดให้นะ ก็ให้งดน้ำและอาหารเลยตั้งแต่ 6โมงเย็นวันนี้ เราก็นึกในใจนะว่า
"ลูกจ๋า ลูกอย่าให้แม่ต้องเจ็บเลยนะคนดี ถ้าเรามีบุญต่อกันก็ขอให้หนูกลับมาเกิดกับแม่ใหม่นะ"
เราคิดแบบนี้นะ ปรากฎว่าคืนนั้นทั้งคืนเลย รู้สึกปวดท้องเข้าห้องน้ำ ปวดฉี่ แทบทั้งคืนเลยนะ เริ่มปวดถี่ ๆ ก็ตอนประมาณตี 4 ถึงเกือบ 8 โมงเช้า พอปวดก็จะลุกขึ้นแล้วเดินไปห้องน้ำ แต่ไม่มีฉี่ ฉี่ไม่ออก ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์อะไรเลยตรงนี้ ไม่มีประสบการณ์จริง ๆ ปวดก็ไปห้องน้ำ
แต่พอเริ่มสว่างก้ปวดถี่ขึ้น ๆ จนประมาณเกือบ 8 โมงเช้าแหล่ะ รู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ปวดอีกแล้วอ่ะ พอก้าวขาลงจากเตียงเท่านั้นแหล่ะ ได้ยินเสียง "โป๊ะ" ก็ยังงง ๆ นะ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ก้มลงไปมอง แล้วเห็นว่า น้ำเต็มพื้นเลยอ่ะ แล้วเราก็เอามือไปคว้าตัวเด็กที่หลุดออกมาไว้ในมือ (เราเอามือข้างซ้ายอุ้มเค้าไว้ ตัวเค้าเล็กมาก ๆ เลย ตัวยาวกว่ามือเราออกมานิดเดียวเอง)
ทีนี้พี่ ๆ เตียงข้าง ๆ ก็เรียกพยาบาลบอกว่าเราตกเลือด

โห! แบบว่าเรียกน่ากลัวมากเลยอ่ะ แต่ความที่เรานอนมานานแล้วไงก็เลยสนิทกับพยาบาลดี พี่ ๆ เค้าใจดีนะ คอยดูแลเราอย่างดีเลยแหล่ะ เราก็กลัวเค้าจะว่าเอาอ่ะ ที่ทำให้พื้นโรงพยาบาลเค้าเลอะ ก็แบบว่าจะเอาผ้าเช็ด พี่เค้าบอก "ไม่ต้องน้อง รีบขึ้นไปนั่งบนที่นอนเลย พี่เค้าก็ขึ้นมาบนตัวเรา แล้วก็กดลงตรงใต้ลิ้นปี่อ่ะ เค้าบอกว่าดีนะที่เราเอามือไปรองเด็กไว้ เพราะถ้าเกิดเด็กหลุดออกมาแบบนั้น และถ้าสายสะดือขาดล่ะก็ รกจะดันตัวเองขึ้นสูง เหมือนแรงกระชากอะไรแบบนั้นแหล่ะ แล้วทีนี้เราก็จะหายใจไม่ออก (อาจตายได้เหมือนกันนะ คนโบราณบอกว่า รกบินไปตัดขั้วหัวใจ ประมาณนี้แหล่ะ ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน) ตอนที่พูดพี่เค้าก็ค่อย ๆ กดนะ จากที่รู้สึกว่าอึดอัดและแน่นหน้าอก ก็ดีขึ้นทีนี้พี่เค้าก็พยายามทำความสะอาด เราก็เลยขอดูหน้าลูก แต่เค้าไม่ให้ดู เค้าบอกว่าจะทำให้จำได้ติดตา อย่าดูเลย
เราก็ถามพี่เค้านะ ว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พี่เค้าบอกว่ายังไม่ทราบเพศแน่ชัด แต่ถ้าให้ดูจากสภาพเด็ก น่าจะเป็นผู้หญิง ซึ่งเรายังจำภาพของลูกได้ติดตาจริง ๆ แค่เสี้ยววินาที ที่เราเอามือไปรับเค้าไว้แล้วได้มองเห็นหน้าเค้า จนถึงทกวันนี้เราก็ยังจำหน้าเค้าได้จริง ๆ
"ลูกของแม่"
เค้าถามว่าจะทำยังไงกับศพเด็ก เราก็ไม่รู่ว่าจะตอบว่ายังไงนะ เราก็เลยบอกไปว่า ให้โรงพยาบาลไว้ เพราะเราไม่รู้นี่นา แต่พอออกมาก็ไปทำบุญนะ
ทำบุญให้ลูก ตอนนี้ก็ยังต้องทำ เพราะไปดูดวงมาเค้าบอกว่า ให้ทำบุญนะ มีเด็กตามเราอยู่อีกหนึ่งคน นี่ก็เพิ่งนึกได้ ก็ว่าจะไปทำให้เค้าเหมือนกัน ที่เค้าไม่ได้เกิดก็เพราะว่าเราประมาทเองน่ะแหล่ะ
คุณหมอยังงงเลย ทำไมเด็กถึงเสียชีวิต
555
ประมาณว่าลูกคงคิดว่า "พ่อกับแม่อาจจะยังไม่พร้อมที่จะมีเค้า เค้าก็เลยตายเองมั้ง หรือไม่ก็ที่พ่อเค้าเตะที่หลังแม่น่ะแหล่ะ" คิดได้สองแง่ แต่ทุกวันนี้เราก็ยังอยู่กับแฟนคนนั้นอยู่เลยนะ อยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้

เพราะเวรกรรมมันยังไม่หมดไง

ท้อง (แท้ง)


เมื่อครั้งแรกที่เราได้รู้จัก ได้ประสบพบเจอกับคำว่า "ลำบาก" ก็ตอนที่ได้เจอกับผู้ชายคนนี้ "คนที่เป็นพ่อของลูกในทุกวันนี้" เมื่อก่อนชีวิตไม่เคยได้รู้จักหรอกนะ "ความทุกข์เป็นยังไง" "ความลำบากเป็นยังไง" เพราะเราโตมาในครอบครัวใหญ่ และค่อนข้างมีฐานะทางการเงินที่ดีพอสมควร
แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจเรานะ ให้รู้สึกว่า ถ้าเป็นผู้ชายคนนี้เค้าจะสามารถดูแล และปกป้องเรารวมไปจนถึงลูกได้ "ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคิดแบบนี้"
ท้องแรก ตั้งใจจะปล่อย ให้ท้องกับคนนี้แหล่ะ (ตอนนั้นกะว่าจะไม่กลับมาที่บ้านอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าบ้านแฟนก็ค่อนข้างโอเคเลย มีฐานะพอดี ๆ ไม่ต้องรวยมาก แต่เหมือนกับว่าอบอุ่นอ่ะ เค้ามีพ่อแม่อยู่ด้วยตลอดเวลาก็เลยรู้สึก เหมือนครอบครัวในฝันเราเลย อยากเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้) แต่พอเริ่มท้องก็เริ่มแล้วอาการแพ้ แพ้มาก ๆ เลยแหล่ะ ไม่อยากกินอะไรเลย เหมือนลูกจะเป็นผู้ดีอะไรประมาณนั้น แล้วทำอะไรก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ มีเงินมากเลยแหล่ะ แต่เชื่อไม๊ว่าเราทะเลาะกับแฟนได้ตลอดเวลาเลยแหล่ะ
บางทีทะเลาะกันจนเค้าไล่เราออกจากบ้านก็มีเหมือนกันนะ ไล่เหมือนหมู ไล่เหมือนหมาเลยแหล่ะ แต่เราไปไหนไม่ได้แล้ว ถ้าจะให้เราหอบลูกในท้องกลับมาที่บ้านเราก็กลัวพ่อกับแม่จะเสียหน้า เสียใจ คือชีวิตนี้ตอนนั้นเราตัดสินใจแล้ว ว่าจะไม่เป็นคนฉีกหน้าของพ่อเด็ดขาด และจะไม่ทำให้แม่ต้องเสียใจอีก เราก็เลยอดทน ประมาณเหมือนหน้าด้าน หน้าทนเลยนะ
บางทีโดนหลานของแฟนซึ่งยังเป็นเด็ก ๆ อยู่เลยว่ามา แบบว่าหน้าชาเลยนะ เหมือนกับเค้าบอกว่าเราหน้าด้าน ไม่รู้จักไปสักที อยู่ที่นี่ก็ทำให้หลาย ๆ คนอึดอัดใจ น่ารำคาญ เด็กนะคะ คำพูดของเด็กประมาณ 5 ขวบมั้ง โห! เรารู้สึกแย่มาก ๆ เลยอ่ะ วันนั้นก็เลยตัดสินใจว่า จะไม่อยู่ที่บ้านแฟนอีกต่อไปแล้ว และจะไม่กลับไปอยู่ที่บ้านเราเหมือนกัน ทะเลาะกับแฟนแรงมาก ๆ แล้วเมื่อก่อนเค้าเป็นพวกชอบใช้กำลัง พอโมโหแล้วหยุดตัวเองไม่ได้ เค้าเตะเราที่หลัง ตอนนั้นท้องลูกได้ 3 เดือนครึ่ง ก็ไม่รู้สึกอะไรนะ แต่เราตัดสินใจแล้วว่า "พอกันที ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันจะไป" ก็เลยเอามือถือ โนเกียรุ่นไหนจำไม่ได้แล้ว ขายได้ 8000 กว่าบาท แล้วก็แหวนอีกครึ่งสลึกที่เค้าซื้อให้น่ะแหล่ะไปขาย ได้มาอีก 800 บาท
ก็หนีออกมาจากบ้านแฟน เข้าไปอยู่ทีตัวเมือง พักโรงแรมแถว ๆ ในเมืองน่ะแหล่ะ แล้วก็พยายามคิดหาทางออก แต่ก็ดีนะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ยื่นมือเข้ามาช่วยท่านดีมาก ๆ เลย ให้ที่พักที่อยู่ เราก็ยังคิดอะไรไม่ออกนะ แค่ปรึกษาท่านเฉย ๆ ก็ไม่ได้ว่ายังไง คุยกันพอเริ่มจับทิศทางถูกว่าจะต้องทำยังไงต่อไปก็เลย โอเค แต่เราไม่มีความคิดจะเอาลูกในท้องออกเลยนะ อันนี้กล้าสาบาน ไม่รู้สิ มันไม่ได้อยู่ในสมองเลยนะ ว่าจะเอาลูกคนนี้ออก ต้องเอาออกอะไรอย่างนี้ ไม่มีเลย
ก็พอเริ่มมีทางออกก็เลยคิดจะไปอัลตร้าซาวด์ดูว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผุ้ชาย แค่อยากเห็นหน้าเค้า ก็เลยไปที่โรงพยาบาลเอกชน ค่าอัลตราซาวด์เมื่อ 7 ปีที่แล้วประมาณ 1500 บาทก็โอเค จ่ายเลย แต่ที่ไหนได้
ลูกของเราเสียชีวิตแล้ว เค้าไม่หายใจ เค้าตาย
หมอก็เลยทำหนังสือส่งตัวให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เป็นโรงพยาบาลรัฐบาล แหม พอหนังสือส่งตัวบอกว่า เด็กตายในท้อง แต่ละคนมองมาเหมือนเราเป็นฆาตกรเลยอ่ะ คิดว่าเราฆ่าลูกตัวเองมั้ง
ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่มาก ๆ เลยนะ ลูกเราก็ตาย แถมคนรอบข้างก็ซ้ำเติม ตอนนั้นเราไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เลยนะ แค่เราคนเดียว แล้วจังหวัดนั้นก็ไม่ใช่บ้านเกิดเราด้วย เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาดเลยแหล่ะ คนเข็นรถเข็นยังไม่อยากเข็นเลย
หมอตรวจยังขู่เข็ญแกมบังคับเราอีกนะ ว่าไปทำอะไรมา ให้บอกมาตรง ๆ เราก็บอกไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ ตอนนั้นเค้าก็พยายามหาร่องรอยการทำแท้งอ่ะ แต่เราไม่ได้ทำ ปากมดลูกไม่ได้เปิด เค้าก็ตกใจนะ แล้วก็ขอโทษเราเป็นการใหญ่เลย เพราะเค้าบอกว่าเค้าเข้าใจนะสำหรับคนที่อยากมีลูก
หลังจากนั้น คุณหมอกับพยาบาลก็เข้ามาดูแลอย่างดีเลยแหล่ะ คอยสนใจ ห่วงใยตลอด คุณหมอก็พยายามฉีดยาเร่งคลอดให้นะ แต่ไม่เป็นผล เพราะปากมดลูกไม่เปิด แต่คุณหมอก็พยายามที่จะคอยเช็คเกล็ดเลือดตลอดเวลา เพราะคุณหมอกลัวว่าถ้าเด็กเสียชีวิตในท้องนาน ๆ จะทำให้เกล็ดเลือดของเราไม่แข็งตัว และถ้าสุดท้ายเด็กไม่ยอมหลุดออกมาเอง เราก็ต้องผ่าตัดออก ถ้าเก็บเอาไว้นาน ๆ จะเสี่ยงต่อชีวิตของแม่
และลูกของเราก็อยู่ในท้องแบบนั้นแหล่ะ เกือบ 2 อาทิตย์เลย
อาทิตย์แรกนอนให้น้ำเกลืออยู่โรงพยาบาล
อาทิตย์ที่สองตรงกับวันหยุดสงกรานต์ของปี 2548
อาทิตย์ถัดมาคุณหมอก็เลยนัดให้กลับมาใหม่ตอนเปิดวันจันทร์
ก็เลยกลับไปอยู่ที่บ้านแฟน แต่ก็เหมือนเดิม เหมือนกาฝาก เราเจ็บมากเลยนะ แล้วเรารู้สึกเหมือนกับว่าลูกเรายังมีชีวิตอยู่ เหมือนหมอเข้าใจผิด อะไรประมาณนั้น เหมือนเรากำลังเริ่มหลอกตัวเองอ่ะ เราเริ่มเกลียดแฟนมาก ๆ เลยนะ เกลียดมาก เรานอนกอดตัวเองแล้วก็ร้องไห้
ทำไมลูกเราต้องตาย เพราะอะไรเหรอ
เราผิดเองแหล่ะ ที่มีแฟนที่ไม่มีภาวะในการเป็นผู้นำใด ๆ ทั้งสิ้น เค้าไม่เคยเป็นผู้นำให้เราได้จริง ๆ เราอยู่ด้วยกันมา 6 ปี เราต้องช่วยเหลือตัวเองมาตลอด เค้าและครอบครัว ไม่เคยช่วยเหลือเราเลย
แต่เหมือนเวรกรรมมันยังไม่หมดไง

ความในใจ (ของหมอนวด)


วันนี้รู้สึกเหนื่อยมาก ๆ เลย ที่ร้านก็ไม่ค่อยมีลูกค้าในตอนกลางวันเลยสักคนเดียว เจ้านายก็ไม่ยอมโปรโมทร้านเลยอ่ะ พอเริ่มมืดลูกค้าเริ่มเยอะ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเฒ่าหัวงู หรือไม่ก็พวกขี้เหล้า กินเหล้าแล้วมานวด อะไรพวกนี้ ทำให้ตอนนี้เราเบื่อมาก ๆ เลยอ่ะ เจอลูกค้าประเภทนี้บ่อย ๆ มักจะโดนดูถูก เหมือนว่าจะสามารถซื้อผู้หญิงทุกคนที่เป็นหมอนวดได้ด้วยเงินทั้งนั้นแหล่ะ
ไม่รู้เหมือนกันนะว่าวันนี้เราเป็นอะไร
เราไม่อยากนวดลูกค้าเลย เหมือนเรากำลังจะหมดแรงแล้ว เราเหนื่อยมาก ๆ เลย แต่เราไม่สามารถหยุดได้ เพราะในวันนี้ถ้าเราหยุด เราจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน เราไม่อยากทำงานนวดอีกแล้ว แรก ๆ ก็สามารถบังคับจิตใจได้หรอกนะ แบบว่ายังไงก็ต้องทน พรุ่งนี้เราก็ต้องทนอีกเหมือนเดิม เพราะเราต้องหารายได้เข้าบ้าน เป็นค่าขนมลูกชายไปโรงเรียน ค่ากับข้าวให้กับคุณแม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย
เฮ้อ
บางทีก็รู้สึกท้อนะ ท้อมาก ๆ เลยแหล่ะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้ เราเหนื่อยนะ เหนื่อยเหลือเกิน วันไหนถ้าเราไม่ท้อนะ เราจะสู้มาก ๆ คิดไว้ว่าต้องหาเงินเข้าบ้านเท่านั้น คิดแค่นี้แหล่ะ ทั้ง ๆ ที่ใจจริงแล้วอยากกลับบ้านไปหาลูกมาก ๆ เลย อยากกลับไปอยู่กับลูก เหนื่อยจัง อยากกอดลูกมาก ๆ แต่เราก็ไม่สามารถทำได้ เราต้องทำงาน บางครั้งก็เลยเที่ยงคืนไปก็มีเหมือนกันนะ พอตื่นเช้าขึ้นมา รู้สึกว่านิ้ว ว่ามือ ว่าแขนมันล้าไปหมดเลย มันไม่อยากจะลุกแล้ว เราโหมงานอย่างนี้มา 3-4 วันแล้วแหล่ะ กลับบ้านดึก ๆ แต่เชื่อไม๊ว่าดึกแค่ไหน ส่วนใหญ่ลูกชายของเราจะรอ "เค้าจะรอนอนพร้อมกับแม่" รู้สึกไม่ดีเหมือนกันนะ สงสารลูก แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อวันนี้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปอีกแล้ว เราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
แต่วันนี้เรากลับบ้านเร็ว เราได้ลูกค้าผู้หญิงคนเดียวแล้วก็กลับบ้านเลย เพราะว่าท้องฟ้าเหมือนฝนจะตกหนัก เป็นห่วงลูกชายกับแม่มากกว่า ก็เลยอยากกลับบ้าน ได้เงินกลับมา 140.- บาทถ้วนสำหรับวันนี้ ก็เอาเถ่อะ มีไว้เป็นค่ากับข้าวให้แม่พรุ่งนี้ก็พอแล้ว เราคิดว่า กลับมาพักก่อนดีกว่า ถ้าวันนี้เรายิ่งโหม พรุ่งนี้เรายิ่งไม่อยากไปทำงาน
ก็เป็นแค่ความในใจของเรา ในวันที่เราท้อแท้เท่านั้นแหล่ะ พรุ่งนี้เราก็จะมีแรงสู้อีกครั้ง แต่วันนี้เราเหนื่อย เราอยากระบายออกไปให้ใครก็ได้รับรู้ เราก็เลยทำเป็นบทความออกมา คืนนี้พอได้นอนหลับ พรุ่งนี้ตื่นมาก็หายเหนื่อยแล้วแหล่ะ

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ผิด

" เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
เเม้นพูดดีมีคนเขาเมตตาจะพูดจา
จงพิเคราะห์ให้เหมาะความ "

เหมือนคำกล่าวนี้จะสอนให้รู้จัก "คิดทุกครั้งก่อนจะพูด" เพราะคำพูดไม่สามารถจับต้องได้ แต่คนฟังสามารถได้ยินและนำไปแปลความหมายให้เปลี่ยนไปได้ต่าง ๆ นาๆ
คนบางคน พูดดี พูดเพราะ ใครได้ยิน ได้ฟังก็รู้สึกเมตตาสงสาร แต่สำหรับบางคนที่พูดจาไม่มีเลยความมีสัมมาคารวะ มีแต่ความหยิ่งทะนง องอาจว่าเราแน่ เราเก่ง แล้วทีนี้ใครที่ไหนเค้าจะมาสงสารเราล่ะ ในเมื่อเราแสดงออกแล้วว่าเราเก่ง ใครที่ไหนจะมาช่วยเหลือ
เหมือนตัวเรานี่ไง สามารถพูดให้คนดี ๆ คนหนึ่งกลายเป็นคนเลวไปได้ในสายตาของหลาย ๆ คน พูดจาก 1 ให้กลายเป็น 10 ได้ และตัวเราเองยังสามารถหลอกตัวเราเองได้ด้วยซ้ำ (ขนาดตัวเราเองยังหลอกตัวเอง แล้วใครที่ไหนเค้าจะรู้ล่ะว่าเราหลอกลวง ก็ในเมื่อตัวเรา เรายังหลอกให้เชื่อในส่ิงที่เราทำได้เลย ว่าเราทำดี)
คำว่า "ความลับไม่มีในโลก" เพราะ ถึงแม้ไม่มีใครรู้แต่ตัวเราเองนี่แหล่ะที่รู้ แต่ถ้าแม้ตัวเราเองยังไม่รู้ล่ะ มันคืออะไร
ในวันนี้เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป ทุก ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป เราก็พยายามจะเปลี่ยนนิสัยอยู่ เราพยายามจะยึดติดในสิ่งที่เป็นความจริงให้ได้มากที่สุด แม้ความจริงเหล่านั้นจะเป็นความจริงที่เราจะต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เราก็ต้องยึดติด เราจะไม่หลอกตัวเราเองอีกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามทีเราหลอกตัวเองว่า "เรื่องที่เรารับไม่ได้เราก็จะหลอกตัวเองว่าเราไม่ได้ทำ" ทีนี้พอวันเวลาผ่านไป ช่วงเวลาเหล่านั้นในสมองของเราก็จะค่อยๆ หายไป เหมือนเราไม่เคยทำจริง ๆ มันเหมือนเป็นภาพในความฝัน ที่เบลอ ๆ แล้วก็ค่อย ๆ หายไปเองด้วยสิ
นี่ก็เป็นอีกทางหนึ่งนะที่เราใช้หลอกตัวเราเอง หลอกมาตลอด จนมาถึงทุกวันนี้ เราเลิกแล้ว เราพยายามอยู่กับคำว่า "สติ" อย่าพยายามให้ "สติ" หลุดลอยออกไป เพราะมันจะทำให้เราสามารถหลอกตัวเราเองได้อีกครั้งหนึ่ง
แน่นอนมนุษย์เกิดมาพร้อมตัณหา ใครบ้างไม่อยากมี ใครบ้างไม่อยากรวย เราก็อยาก เมื่อก่อนเราไม่คแร์หรอกนะ เราจะทำทุกทางถ้าทำให้เรามีเงิน แต่ยิ่งเรามัวเมาในตัณหามากเท่าไหร่ มันยิ่งทำร้ายเรามากเท่านั้น จนสุดท้าย เราก็ต้องกลับมาเดินในทางเดิม คือยึดในพระพุทธศาสนาให้มาก ๆ เดินทางสายกลาง ให้อภัยเยอะ ๆ อย่าไปอาฆาต พยาบาท เบียดเบียนใคร นี่คือสิ่งที่เราทำในวันนี้
แต่มันคงยังไม่เพียงพอ ชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเราเคยผิดศีลข้อ 4 มุสาวาทา เวระมณีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ (งดเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด รวมไปจนถึงการพูดจาไร้สาระ) เราทำผิดศีลไว้มากก็ได้ ทุกวันนี้ชีวิตของเราถึงเป็นเช่นนี้ ต่อให้สิ่งที่เราพูดจนแทบจะตะโกนออกไปเป็นความจริง ยังไม่มีใครเชื่อคำพูดของเราเลย
เราทำแต่ความดี ไม่ได้ไปป่าวประกาศให้ใครฟัง ก็เหมือนปิดทองหลังพระน่ะแหล่ะ ไม่อยากให้มีใครมารับรู้กับเราหรอก แต่เราก็พยายามนะ พยามยามจะยึดศีลข้อ 3 และ ข้อ 4 ไว้ให้มั่นคง แต่พอเราผิด เราพลาด เหมือนโดนซ้ำเลยอ่ะ
ทางออกสำหรับเรา ยังหาไม่เจอ
ชีวิตคู่ของเราก็ไม่มีความสุข
ชีวิตทางด้านการงานของเราก็ล้มเหลว
ชีวิตทางด้านการเงินก็ต้องประสบพบเจอกับมรสุมใหญ่หลวงนัก
ชีวิตของเราทำอะไรผิดมามากมายนัก แต่ตอนนี้เราก็เหนื่อยเหลือเกินแล้ว
เราพยายามเอาความดีเข้ามาช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เราไม่โทษฟ้าดิน หรือเทพ เทวดาต่าง ๆ หรอก แต่มันเป็นเพราะเวรกรรมของเราเอง เวรกรรมของเราคนเดียวที่มันหนักขนาดนี้ เราไม่สามารถบรรเทามันลงไปได้มากกว่านี้ ตอนนี้เราก็เลยต้องรับไปก่อนในผลแห่งกรรมที่เราได้เคยกระทำเอาไว้ แค่ในชาตินี้ก็หนักหนากสาหัส สากรรจ์แล้วที่เราได้กระทำไว้กับพ่อแม่ ญาติพี่น้องทั้งหลาย รวมไปจนถึงคนรักของเราในอดีต (เราผิดจนไม่น่าให้อภัย แต่ทุก ๆ คนก็ให้อภัย ให้โอกาสเราเสมอ) ในวันนี้ที่เราต้องเจอเวรกรรมนี้ เรารู้นะว่าเกิดจากอะไร แล้วเราก็ก้มหน้ารับชดใช้ในสิ่งที่เราได้เคยพูดจาทำลายใครหลาย ๆ คนไว้เมื่อในอดีต

วันนี้เวลาที่เราทำความดี เราก็ขอให้ความดีของเราเหล่านั้นจงส่งผลไปให้ถึงกับเจ้ากรรมนายเวรของเรา แค่ในชาติปัจจุบันนี่ก็เยอะแยะแล้ว ถ้าไปนับชาติอดีตด้วยก็ เหมือนกับสมควรแล้วแหล่ะ ที่วันนี้เรามีชีวิตเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังดีนะ ที่ี่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายยังเปิดทางให้เราได้มีทางเดิน มีช่องทางในการทำมาหากิน มีเงินมาเลี้ยงดูบุพการี และบุตร แม้จะไม่่มากมาย แต่ก็พออยู่ได้
เมื่อวานเราหมดแรง แต่วันนี้เรามีแรงสู้
วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน
พรุ่งนี้ก็จะดีกว่าวันนี้
วันนี้เรารู้จักแล้วกับคำว่า "พอดี และ พอเพียง"


เราเชื่อในเรื่องของเวรกรรม

เรา


มัวแต่เขียนถึงคน ๆ นั้น เลยลืมเล่าถึงตัวเราไปเลย
เมื่อก่อนเราเกิดมาบนกองเงินกองทองเลยนะ เค้าเรียกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด
จริง ๆ ตัวเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยนะ ถ้าอยู่ที่บ้าน ไม่ดิ้นรนไปอยู่กรุงเทพฯ ก็คงจะไม่มีวันนี้หรอก ไม่มีวันที่เราจะได้รู้จักกับคำว่าความทุกข์เลยจริง ๆ
ชีวิตก็คงจะไปเรื่อย ๆ ไปตามน้ำ ไปตามทางที่ผู้ใหญ่ขีดเขียนให้เดินตาม อันนี้เป็นเรื่องจริงนะ เพราะเมื่อก่อนเราก็ประมาณนี้แหล่ะ ชี้นกก็ว่าเป็นนก ชี้ไม้ก็ว่าเป็นไม้
แต่พอไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ได้ดีแค่ปีเดียว แล้วก็กลายร่างจากชีวิตของมนุษย์ ไปเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ตัวเงินตัวทอง" กันเลยทีเดียว
หายสาบสูญไปจากชีวิตครอบครัวจากวันนั้นจนถึงวันที่กลับบ้านก็ 6-7 ปีนี่แหล่ะ
ไม่เรียนต่อด้วยนะ เที่ยวอย่างเดียวเลย ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้ว่าเที่ยว ก็ส่งเงินให้ใช้ทุกอาทิตย์ โห! แต่เงินหมดภายในวันเดียวเลย ที่เหลือก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหามาได้ยังไง แบบว่า "งง" เพราะไม่ได้ขายตัวเหมือนเด็กสมัยนี้หรอก เที่ยวก็แบบเที่ยวอย่างเดียวเลย เมากลับบ้าน ตื่นมาก็ได้เวลาเที่ยวอีกแล้ว เป็นอย่างนี้แหล่ะ วนเวียนไปเรื่อย ๆ (ตอนนั้นเพิ่งอกหักจากคนรักคนแรกด้วยแหล่ะ แบบว่าเจ็บมาก ๆ เลยอ่ะ แต่ความเลวเกิดจากเราเองนะ เราผิดเองแหล่ะ เราดันไปมีผู้ชายอื่นแล้วแฟนเราก็ดันมาเจอเรานอนกอดกัน แบบว่ามันคงจะทำให้เค้าเจ็บมาก ๆ เลยว่าไม๊) วันนี้ที่พิมพ์นี่ยังละอายตัวเองเลยนะ ทำไมเราทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ แบบว่าเลวได้ไงอ่ะ อาจจะเกิดจากเค้าไม่มีเวลาให้ด้วยแหล่ะ ถามว่าเรารักเค้าไม๊ ทุกวันนี้เราก็เหลือเพียงความห่วงใยที่เรามีให้เค้าฝ่ายเดียว ส่วนฝ่ายเค้าอาจจะเกลียดเรามากกว่าขี้อีกซะด้วยมั้ง 555
วันนี้หัวเราะได้ แต่ละอายใจจริง ๆ นะ แบบว่าทำกับเค้าได้ยังไงอ่ะ เค้าเป็นคนดีที่แสนวิเศษจริง ๆ นะ เป็นคนมีเหตุผล เป็นคนที่รักเดียวใจเดียว ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า แบบว่าตอนนั้นไม่รู้ผีห่า ซาตานตนไหนสิงก็ไม่รู้ ทุกวันนี้เราก็ยังคิดว่าเค้าเป็นคนดีแสนวิเศษเช่นเดิมอยู่
เชื่อไม๊ เค้ายังไม่ได้แต่งงานเลยนะ ในขณะที่เรามีลูกชาย 1 คน แล้วแหล่ะ
เห็นเค้าทุกครั้งรู้สึกผิดมาก ๆ เลย ก็เลยพยายามจะเลี่ยงไม่ต้องเจอกันน่ะดีแล้ว เรารู้ไงว่าเราจะหาเค้าเจอได้ที่ไหน ที่ที่เราอยู่มันเป็นจังหวัดเล็ก ๆ เราเจอเค้าได้ตลอดเวลาเลยนะ แต่เค้าคงไม่อยากเจอเราหรอก 5555
สมน้ำหน้า (ตัวเอง)
เค้าบอกว่าเห็นกงจักเป็นดอกบัว แล้วเป็นไงล่ะชีวิตตอนนี้ 555 ต้องชดใช้กรรมให้เค้าไป สามีก็นอกใจตลอดเวลาอยู่ด้วยกันมา จนลูกจะ 5 ขวบอยู่แล้ว สามีก็ยังนอกใจ ตั้งแต่ลูกอายุได้ 6 เดือน คิดเอาแล้วกันนะ ว่ามันแสบสันขนาดไหน ทุกวันนี้สามีก็ยังนอกใจอยู่ 55
เวรกรรมติดจรวดจริง ๆ
แบบว่าเห็นกันจะ ๆ ในชาตินี้แหล่ะไม่ต้องไปรอมันแล้วชาติหน้า เวรกรรมสมัยนี้มันตามทันแบบเห็นทันตาเลย เลิกกับเค้าไปไม่ถึง 2 ปีเลย ได้มาเจอกับสามี เราก็รู้สึกนะว่าแหมสามีของเรานิสัยไม่เหมือนแฟนคนแรกเลยอ่ะ เค้าแบบเถื่อน ๆ ดิบ ๆ อ่ะ ไม่ตามใจ ไม่โอ๋เราเลย ที่ไหนได้ สามีเป็นอย่างนั้นจริง ๆ วันเกิดเรายังจำไม่ได้เลย วันครบรอบก็ไม่มี วันวาเลนไทน์อย่าไปฝัน
นี่แหล่ะหนา เวรกรรม
เราก็คงต้องรอต่อไปเมื่อไหร่เวรกรรมเหล่านี้จะหมดไปสักที เวลาทำบุญก็จะพยายามคิดถึงคนที่เราทำให้เค้าเจ็บแสบไว้เสมอนะ ไม่ว่าจะเป็นแฟนคนแรก หรืออดีตคนรัก รวมไปจนถึงสามีคนปัจจุบันนี้แหล่ะ ทำตลอดเลยนะ ทำเพื่อให้วันหนึ่ง เวรกรรมเหล่านี้จะได้หมดไปสักที เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้เป็นอิสระ สามารถปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการกรรมเหล่านี้ไปได้ ไม่รู้ว่าจะได้เห็นภายในชาตินี้ไม๊
เฮ้อ! นี่แหล่ะหนาเวรกรรม

เค้า (ผู้ชายคนนั้น)


เมื่อไหร่ตัวเราจะสามารถหลุดพ้นจากคน ๆ นี้ได้สักที
เมื่อไหร่เราจะมีอิสระจากคน ๆ นี้สักที
วันนี้เราได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง จากญาติพี่น้องของเรา แต่เค้าคนนั้นสามารถพูดทำให้ญาติพี่น้องของเราต้องถอยห่างออกไปอีก "นี่เป็นครั้งแรกที่เราร้องขอความช่วยเหลือจากพ่อ และท่านก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเราและลูกรวมไปถึงแม่ของเราด้วย" แต่เค้าคนนั้นสามารถหยุดทุกอย่างได้ หยุดพ่อของเราได้ พ่อที่มีอำนาจ พ่อที่มีบารมี แต่พ่อไม่สามารถช่วยเหลือเราได้ เพราะคำ ๆ เดียวเท่านั้น "นี่คือเรื่องภายในครอบครัว" แล้วชีวิตของเราล่ะ ชีวิตของเราทุกวันนี้เรายังตกนรกไม่พออีกเหรอ "ชีวิตของเราได้รวมอยู่ในคำ ๆ นี้ด้วยไม๊ คำว่า ครอบครัว"
เราอดทนมาตลอดระยะเวลา 6 ปี เราทำทุกอย่างที่จะหาเงินมาได้ โดยไม่ได้เบียดเบียนชีวิตใคร เอาแรงกายเข้าแลก เราทำมาหมดแล้ว ชีวิตนี้อะไรที่เราไม่เคยทำ เราก็ต้องทำเพราะผู้ชายคนนี้
เราต้องขอบคุณผู้ชายคนนี้มาก ๆ เลยนะ เค้าสอนให้เราได้รู้จักคำว่า "ชีวิต" สอนให้เราได้รู้จักคำว่า "ความทุกข์" และสุดท้ายเค้าก็เป็นคนสอนให้เราได้รู้จักกับคำว่า "การพ้นทุกข์"
เค้าทำให้เราต้องดิ้นรนหาทางหนีความทุกข์ต่าง ๆ นานา สุดท้าย เราก็ต้องพึ่งทางธรรม การสวดมนต์ การทำบุญ การทำทาน ซึ่งสิ่งที่เราทำนั้น เค้ามองว่าเป็นสิ่งไร้สาระ
เรามีเรื่องราวมากมายที่อยากระบายออกไป ในตอนนี้เราทำบทความนี้เราก็ร้องไห้นะ แล้วไง เราต้องร้องไห้อีกกี่ครั้งเหรอ เราต้องให้อภัยผู้ชายคนนี้อีกกี่ครั้งเหรอ เราต้องเป็นผู้ให้กับผู้ชายคนนี้อีกนานแค่ไหนเหรอ
ทุก ๆ คำถาม เรามีคำตอบให้ตัวเองนะ พี่สาวของเราเคยบอกว่า "คนทุกคนมีขีดจำกัดของความอดทน เมื่อไหร่ที่มันหมด ก็คือเมื่อนั้น" และวันนี้ก็มาถึงแล้วจริง ๆ
เรากับเค้ายังไม่ได้แยกบ้านกันอยู่ด้วยซ้ำ แต่เรากับเค้าเหมือนห่างไกลกันเหลือเกิน ค่อย ๆ ห่างไปทีละนิด จนมารู้สึกได้ก็เป็นตอนที่ไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ เค้าแล้วนั่นแหล่ะ ก็ไม่เชิงนะ ว่าไม่อยากอยู่ใกล้ แต่อยากอยู่เฉย ๆ แบบไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันมากกว่า ไม่มีความห่วงใยเหลือเลย บางทีก็ถามตัวเองเหมือนกันนะ "เราไม่ห่วงเค้าแล้วเหรอ"
ตอบ ห่วงนะ แต่อยู่ลึก ๆ ในใจ ออกจะเฉยๆ ซะมากกว่า
พอเฉยไปมาก ๆ เค้าก็คงเริ่มรู้สึกได้มั้งว่าเราน่าจะเปลี่ยนไป ก็เลยคิดไปโน่นเลย "หาว่าเรานอกใจ หาว่าเราไปขายตัว" อืม เป้นคนที่มีความคิดที่ดีจริง ๆ คิดได้
เรามีอาชีพเป็นหมอนวด แต่ไม่ได้ขายตัวนี่นา ทำไมเหรออาชีพหมอนวด ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรีเหรอ
เคยเห็นหมอนวดที่สามารถรักษาคนให้หายได้ไม๊ (นั่นแหล่ะเรา อาชีพยังไม่ 30 แต่เราทำได้ แค่เราใส่ใจลงไปในงานที่ทำ)
นี่คืองานที่เรารักจริง ๆ แม้เงินจะได้เพียงนิดหน่อย แต่แลกมาด้วยแรงกายที่เสียไป ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่หรอกนะ แต่เรามีความสุขที่ได้เห็นคนไข้หาย หรือแค่ทำให้เค้าดีขึ้น เราก็รู้สึกดีแล้วล่ะ (แล้วทำไมเราต้องขายตัว การไม่มีเงิน ไม่เห็นจำเป็นจะต้องขายตัวแลกเงินมาเลยนี่นา)
อาชีพหมอนวด เป็นอาชีพที่มีครูบาอาจารย์ และเป็นอาชีพที่บรรพบุรุษส่งต่อให้ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นนะ อาชีพนี้ เป็นอาชีพที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ คนบางคนอยากเรียนมาก ๆ แต่ไม่สามารถเรียนได้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่เรียนแล้วนำอาชีพนี้่ไปทำอาชีพอื่นแฝงเอาไว้อีกต่างหาก อันนี้ก็มี
เราไม่ว่าผู้ชายคนนั้นหรอกที่เค้าจะคิดแบบนี้ แต่เราเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่เราทำว่า "สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ดีงาม"
เราอยากให้เค้าคนนั้นให้กำลังใจเราบ้าง แต่เราคงขอมากไปมั้ง
เราอยากให้เค้าคนนั้นรู้จักกับคำว่าความสุขในวันนี้ แต่เค้าคงมองการณ์ไกลกว่าเรา
เราอยากให้เค้าคนนั้นพอใจในสิ่งที่เรามี แต่เค้าคงอยากให้เรามั่นคง
เราพอใจแล้วในวันนี้ที่เราได้มีงานทำ เราพอใจแล้วในวันนี้ที่พรุ่งนี้เรามีเงินให้ลูกไปโรงเรียน พาคุณแม่ไปทำบุญ และซื้อกับข้าวมากินที่บ้าน แต่ทำไมเค้าคนนั้นไม่รู้จัก "พอ"

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ประเทศไทย


ประเทศไทย เคยได้ชื่อว่า เป็นสยามเมืองยิ้ม
เพราะประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินไทยแห่งนี้ มีความรักใคร่ , ความสามัคคี, ปรองดองกัน, ไม่ได้มีใครคิดร้ายต่อกันเหมือนเช่นทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักกัน หรือคนแปลกหน้า คนในรุ่นพ่อแม่ของพวกเราทุกคนก็ยิ้มให้กัน เหมือนเป็นการทักทายประจำวัน เป็นการทักทายประจำชีวิตของทุก ๆ คน
นี่ผ่านมาเพียง 1 รุ่น แทบจะไม่ค่อยได้เห็นคนไทย ยิ้มให้กันเลย แต่ไปยิ้มให้คนต่างชาติส่วนใหญ่ ก็เป็นข้อดีนะ ทำให้คนต่างชาติยังรู้สึกได้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยังได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้ม
รู้ไม๊ว่าการยิ้ม จะทำให้คุณหน้าแก่น้อยลง แต่ถ้าคุณทำหน้าเคร่งเครียด คุณจะหน้าแก่เร็วมาก ๆ เพราะกล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานหนัก แต่ทำไมจึงไม่ค่อยเห็นคนไทยยิ้มให้กัน เพราะในสังคมปัจจุบันมีความเห็นแก่ตัว , ความโลภมาก และกลัวคนอื่นได้ในสิ่งที่ดีกว่า การยิ้มให้กันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จึงเป็นการยิ้มแบบมีผลประโยชน์
ทำไมคุณถึงไม่ยิ้ม ออกมาจากใจ
ประเทศไทยได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้ม เพราะคนในสมัยก่อน ยิ้มออกมาจากใจ ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน ไม่ว่าใครจะดุ จะด่า หรือหาว่าคนไทยโง่ แต่คนไทยก็ยิ้มไว้ก่อน เพราะคนไทย ไม่ได้คิดว่าตัวเราเป็นเหมือนที่คุณ ๆ บอกมา
คนไทยเป็นคนใจดี คนไทยอยากเห็นคนอื่นมีความสุข ถึงแม้ตัวคนไทยเองจะต้องทุกข์ก็ตามที
สิ่งที่พ่อของแผ่นดินไทยเคยสอนไว้เสมอด้วยการปฏิบัติตนเองให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน ประชาชนชาวไทย
ไม่ว่าพ่อของแผ่นดินไทยจะเหนื่อยสักเพียงใด พ่อของแผ่นดินพระองค์นี้ก็จะยิ้มให้ลูกหลานประชาชนของพระองค์เสมอ

แล้วตัวประชาชนไทย ทำไมไม่ยิ้มให้กำลังใจกันเองบ้าง
ในเมื่อตอนนี้เศรษฐกิจของประเทศแย่ขนาดนี้แล้ว เราคนไทยด้วยกัน ยังต้องแข่งขันกันเพื่อเอาชนะอีกเหรอ ทำไมไม่เห็นใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เหมือนในรุ่นบรรพบุรุษของเราเคยทำ และทำให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤติทุก ๆ อย่างมาได้
คนเพียงหนึ่งคนอาจะไม่มีพลังมากเพียงพอ แต่คนไทยมีประมาณ 70 ล้านคน เราคนไทยจะไม่มีพลังต่อสู้กับภัยเศรษฐกิจครั้งนี้เลยเหรอ
เราคนไทยเพียงหยิบมือ สามารถต่อสู้คนต่างประเทศได้เป็นกองทัพ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับลูกหลานของบรรพบุรษซึ่งเก่งกล้า เรายอมแพ้แล้วเหรอ
คนไทยยอมแพ้ในโชคชะตาแล้วเหรอ
คนไทยปล่อยให้ชีวิตเราลอยไปเรื่อย ๆ ตามน้ำ เหมือนผักตบชวาเหรอ
ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาสู้ ลืมตาขึ้นมาดูล่ะ

เศรษฐกิจในตอนนี้เกิดจากกอะไร
เราคงไม่อยากให้ประเทศของเราค่อย ๆ ถูกคนต่างชาติกลืนไปทีละเล็กทีละน้อยหรอกใช่ไม๊
ตอนนี้ก็หายไปเยอะแล้วนะ
ลืมตาเถ่อะพี่น้องประชาชนไทย
ลืมตาขึ้นมาดู
เลิกเห็นแก่ตัว เลิกเห็นแก่เงินตรา เลิกเห็นแก่อำนาจ

ถ้าประเทศไทยอยู่ไม่ได้ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนได้เหรอ เรามีเงินไปอยู่ต่างประเทศเหมือนคนรวยหรือไม่ เรามีเงินพอจะย้ายถิ่นฐานเหรอ
ทำไมคุณไม่คิดว่าในตอนนี้เรายังมีแผ่นดินเกิด แผ่นดินที่บรรพชนเก็บไว้ให้เรา ทำไมเราไม่รักษาล่ะ จะรอให้ไม่เหลืออะไรก่อนเหรอ
ตื่นได้แล้วนะทุก ๆ คน
เราก็ไม่ใช่คนเก่งที่ไหนหรอก แต่เราเป็นคนไทย เป็นลูกคนหนึ่งของพ่อหลวง เป็นลูกที่รักแผ่นดินเกิดและไม่อยากสูญเสียแผ่นดินเกิดแห่งนี้ให้กับคนชาติอื่น เรายังอยากเป็นลูกของพ่อสืบต่อไป
ขอให้ทุก ๆ คน ตื่นเถ่อะนะ
ขอพลังจากพระสยามเทวาธิราช ช่วยปกปักรักษา คุ้มครองพ่อหลวงของแผ่นดินไทย รวมไปจนถึงพื้นแผ่นดินแห่งนี้ให้อยู่ในนามของประเทศไทยสืบต่อไปด้วยเถิดเพื่อลูก เพื่อหลาน เพื่อประชาชนไทยซึ่งน้อยคนนักจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นี้

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

หมดแล้ว


วันที่หมดแล้วซึ่งความรัก
วันที่หมดแล้วซึ่งความผูกพัน
วันที่หมดแล้วซึ่งความห่วงใย
วันที่หมดแล้วซึ่งความเอื้ออาทร
มันช่างง่ายดายเหลือเกิน หลังจากที่เราต้องทนมา 6 ปี สำหรับผู้ชายเลว ๆ คนหนึ่ง เวลาที่ความผูกพันเหล่านี้หมดลง มันช่างง่ายจริง ๆ ไม่เหลือ แม้เศษเสี้ยวของความห่วงใยอีกต่อไป
เราไม่ได้มีคนใหม่เลยนะ เรายังไม่มีใครเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นมาจากตัวเค้าเองทั้งหมด เค้ายังทำตัวเหมือนเดิม งี่เง่าเหมือนเดิม มีผู้หญิงคนอื่นเหมือนเดิม
"จำได้มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า เมื่อไหร่ที่มันหมด มันก็หมดน่ะแหล่ะ มันจะไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว หมดก็คือหมด"
วันนี้รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง ความอดทนที่เราเคยคิดว่า ถ้ามันหมดแล้ว เรายังสามารถทนต่อไปได้อีก ทนต่อไปได้เรื่อย ๆ ความอดทนของคนเราไม่มีวันหมด "แต่วันนี้มันได้หมดแล้วจริง ๆ"
มันเกิดขึ้นหลังจากวันที่เราไม่มีเงินให้เค้าผลาญ ไม่สามารถหาอะไรมาปรนเปรอให้เค้าได้อีกต่อไป เค้าเริ่มแสดงอาการเห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ มากจนน่าเกลียด แล้วยังมาพาลใส่แม่ของเรา แม่ซึ่งให้เค้ามากกว่าแม่ของเค้าเองด้วยซ้ำ "คนอย่างนี้เค้าเรียกไม่มีความกตัญญู" ซึ่งตรงจุดนี้เรารับไม่ได้ แม่ของเราเลี้ยงเรามาจนโตขนาดนี้แล้ว เลี้ยงมาโดยลำพัง และทุกวันนี้แม่ของเราก็เลี้ยงลูกของเรา จำเป็นไม๊ที่เราต้องให้ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันแม่แค่ 6 ปีมาทำร้ายจิตใจของแม่เรา
เราคงไม่อยากเป็นลูกทรพีอีกต่อไปแล้ว
เราอยากเป็นคนดี
แต่ทำไมเส้นทางแห่งความเป็นคนดีมันลำบากยากเย็นจริง ๆ เลย
เราเหนื่อยจริง ๆ
เมื่อความอดทนสิ้นสุดลง เราจึงไม่เหลือแล้วซึ่งความสงสารที่เคยมีให้เค้าอีกต่อไป จะเหลือแค่ความทรงจำซึ่งต้องบอกว่า แทบจะไม่เคยมีความทรงจำดี ๆ กับคน ๆ นี้้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมา 6 ปี
เค้าไม่เคยให้อะไรเราเลย ความสุขก็แทบจะสัมผัสไม่ได้ เค้าเคยปรับเปลี่ยนตัวเองเข้ามาหาเราบ้างไม๊
วันนี้เราไม่เหลือแล้วสำหรับน้ำตาที่มีไว้ให้กับเค้า

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

อาขีพหมอนวด


ดิฉันเป็นหมอนวด "หมอนวดแผนไทย และหมอนวดแผนโบราณ" ดังนั้นเราจึงเป็นคนที่ให้เกียรติ และถือว่าอาชีพนี้มีศักดิ์ศรีที่ค่อนข้างมาก เพราะอาชีพนี้ สามารถใช้ในการรักษาหรือบำบัดอาการของโรคข้างต้นได้ ด้วยมือ 2 ข้าง หรือด้วยอวัยวะในส่วนอื่น ๆ ของหมอนวด ไม่ว่าจะเป็น เข่า , ศอก, รวมไปจนถึงเท้า
แต่ในปัจจุบันสังคมไทย ยังมองหมอนวดในทางที่ไม่ดี ในภาพลักษณ์ซึ่งดิฉันจำเป็นต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ในวันนี้่หลาย ๆ คนในสังคมไทยมองอาชีพหมอนวด เป็นอีกภาพหนึ่งที่ไม่ดีเลยในสายตาของหลาย ๆ คน ซึ่งก็เกิดจากการทำตัวของหมอนวดเหล่านั้นเอง ซึ่งดิฉันอาจจะพูดคำ ๆ นี้แรงไปนะ
"ปลาเน่าตัวเดียว ทำให้ปลาเน่าทั้งเข่ง"
คำพูดนี้คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ สังคมไทยมองดูหมอนวด เหมือนผู้หญิงขายบริการ เป็นอาชีพที่ต่ำต้อยและไม่มีคุณค่า ถึงแม้ดิฉันจะเพิ่งเรียนรู้ และอยากที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ในมุมมองต่าง ๆ ของหลาย ๆ คนให้ดีขึ้น เพียงดิฉันคนเดียว คงไม่เพียงพอที่จะสามารถพลิกผันความคิดของหลาย ๆ ท่านได้
เพียงอยากขอสักนิด ขอให้ท่านคิด และให้เกียรติในอาชีพที่ดิฉันกำลังทำอยู่ เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เป็นการสืบทดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และเป็นอาชีพที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
แต่ก็ยังมีบุคคลกล่มหนึ่งต้องการให้อาชีพนี้ เปรียบเสมือนผู้หญิงบริการ
นี่หรือคุณค่าของคนที่ช่วยเหลือคนในสังคมของคนไทย
ดิฉันไม่เคยปรารถนาให้ใครมายกย่อง หรือมามองว่าดี หรือเก่งแต่อย่างใด
แต่ดิฉันอยากให้หลาย ๆ คนได้รู้จักกับอาชีพนี้ให้ดีจริง ๆ ก่อนที่จะบอกว่า "แค่หมอนวด.

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

หาทางออก



ถามตัวเองหลายร้อยครั้งแล้วนะ
ในระยเวลาประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ที่เราต้องมาเป็นแบบนี้
ถามตัวเองมาตลอดเลย
เราไปทำอะไรผิดเหรอ
ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้
คำตอบ
ชีวิตของคนเราไม่แน่นอน มีสุข แล้วเดี๋ยวก็ทุกข์ และเวลาทุกข์ ทุกข์ถนัดเลยทีเดียว ความสุขแป๊ปเดียว ความทุกข์นี่ นานแสนนาน อันนี้เป็นเรื่องจริง ตัวเราเพิ่งอายุเต็ม 29 เมื่อไม่นานมานี้ แต่ตอนนี้เหมือนรู้สึกว่าตัวเองควรปลงได้มากกว่านี้แล้ว เพราะทุก ๆ อย่างที่เราโดนมามันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่มีความสุขที่จีรังแม้ครั้งเดียวในชีวิตของเราก็ไม่มี นับได้เลยตั้งแต่เราอัปเปหิตัวเองออกไปจากบ้านโรงสี จนถึงทุกวันนี้ชีวิตของเราขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอด เหมือนกราฟที่ขึ้นไปสูงจนถึง 12 แล้วลงมาที่ 1 เป็นอย่างนี้แทบจะ ปีต่อปีเลยด้วยซ้ำ
พอเจอกับเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ เราก็ต้องกลับมาถามตัวเองนะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย เพราะเราทำตัวไม่ดีเหรอ เมื่อก่อนมีเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ส่งให้ไปเรียนหนังสือก็เรียนไม่จบ แถมได้สามีกับลูกกลับมาฝากที่บ้านอีกต่างหาก นี่คือผลแห่งกรรมที่เราได้เคยกระทำไว้ใช่ไม๊
เราเชื่อมากเลยนะ สำหรับคำว่า "กฎแห่งกรรม"
ใครทำกรรมใดไว้ คุณต้องได้รับในกรรมนั้น
สำหรับเราทำกรรมไว้มากที่สุด ก็เรื่องความรักที่หลอกลวงทำให้คนอื่นเจ็บปวด ส่วนที่หนักที่สุดอีกเรื่อง คือทำให้ผู้มีพระคุณเสียน้ำตา (จัดได้ว่าน่าจะเป็นคนเลวได้แล้วในตอนนั้น)
พอตอนนี้ เรากลับมาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ใหม่ (คิดใหม่ ทำใหม่จริง ๆ เลย)
พยายามคิดให้ดี ๆ ทำชั่วให้น้อยลง ทำความดีให้มากขึ้น อันนี้คิดทุกวัน และพยายามทำให้ได้ดีทุกวัน แต่ก็ยังเจอแต่กับเรื่องที่น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่ร้านที่เราไปทำงานเป็นลูกจ้างเค้า แหมเคยมีคนมานวดเยอะแยะ พอเราไปขอทำงานนวดบ้าง ไม่ค่อยมีคนเลยอ่ะ
เมื่อคืนกลับบ้านมา ไม่มีน้ำตานะ แต่แม่กับลูกชายลงไปรับ แล้วถามว่าเป็นไงบ้าง นี่คือคำถามที่แม่ถามทุกวัน ว่ามีลูกค้าเยอะไม๊ เหนื่อยไม๊ เราตอนแม่ไปว่า ไม่มีเลย แม่ถึงกับงงไปเลย ทำไมถึงไม่มีอะ เพราะในจังหวัดที่เราอยู่ ค่อนข้างจะชอบการนวดกันมากจริง ๆ เรียกว่าเสพติดก็ได้ แต่ทำไมไม่มีคนอืม น่าคิด ไม่มีมา 2-3 วันแล้วนะ
เราก็พยายามเอาหน้าที่ไม่ค่อยหนาของเราเนี่ยแหล่ะ ไปหาบรรดาไฮโซทั้งหลายที่เรารู้จักในตัวเมือง ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเค้าจะมานวดไม๊
เฮ้อ ร้านก็ไม่ใช่ของเรา แต่เราเหนื่อยจริง ๆ นะ เหมือนจะไม่มีทางให้เราได้เดินไปเลยจริงๆ
ในขณะที่คนบางคน ไม่เคยมีความสำนึกในบุญคุณของคนที่เลี้ยงดูตัวเองมา โกงใครได้ก็รีบโกง เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ไม่เคยมีคำว่าเมตตาเลยจริง ๆ
ทำไมเค้าถึงเจริญอ่ะ ทำไมเค้าถึงมีเงินได้ไม่สิ้นสุดล่ะ
คนที่ซื่อสัตย์จะต้องอดตายใช่ไม๊ ส่วนคนที่ขยันโกงกินจะอยู่สบายใช่ไม๊

ชีวิต



เคยรู้สึกไม๊
"ทำไมภาระเราเยอะจัง"
"ทำไมเราต้องลำบากขนาดนี้"
"ทำไมคนอื่นไม่เห็นต้องลำบากเหมือนเราเลย"
"ทำไมไม่เห็นเค้าต้องรู้สึกผิดเวลาที่ทำอะไรไม่ดีก็แล้วแต่"
เพราะคนแต่ละคนแตกต่างกัน โตขึ้นมาบนบรรทัดฐานเดียวกัน แต่ก็ยังต่างกันในด้านของความคิด
สิ่งนี้เราขอเรียกว่า "จิตสำนึก"
ในวันนี้ วันที่เราได้กลายเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ไม่ใช่คุณแม่อีกต่อไปแล้ว
ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหล่านี้ มันจึงมีมากมาย เหนื่อยทุกอย่าง เหนื่อยทุกเรื่อง
ตอนที่คุณแม่เลี้ยงฉันมา สบายกว่านี้ ตอนนี้ฐานะทางบ้านของเรารวยกว่านี้หลายร้อยเท่า
แต่ช่างเถ่อะ
วันนี้ถึงจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตามที
เราก็มีความสุขนะ ถ้าหากวันใดคุณสามีของเราไม่อยากได้อะไรที่มันเกินตัว เกินฐานะ
เรามีความสุข เป็นช่วง ๆ แต่ละช่วงจะขึ้นอยู่กับสามีเป็นหลัก
แต่ช่างเถ่อะ
ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาไม่ใช่หรือ
ทุกชีวิตล้วนเกิดมาบนวิถีทางแห่งชีวิตของตนเอง
ต้องบอกว่า ย่ากับป้าหลาย ๆ ท่านที่เลี้ยงเรามา ท่านสอนเรามาดี
ท่านสอนให้เรามี "จิตสำนึกในบุญคุณของบุพการี" และ"การเกรงกลัวการทำบาป"
ตอนที่พวกท่าน ๆ ยังอยู่ก็ไม่ค่อยจะสำนึกเท่าไหร่นักหรอก
วันนี้ หลาย ๆ ท่านได้จากเราไปไกลซะแล้ว ยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณของค่าน้ำนมเลยด้วยซ้ำ
เราไม่ได้ทานนมแม่ เราทานนมป้า ๆ ที่มีลูกรุ่นราวคราวเดียวกันมา
คำสอนต่าง ๆ
ทำให้เรากลายเป็นคนกลัวการทำบาปมาก ๆ ๆ ๆ ๆ
เราชอบทำบุญ เราชอบสวดมนต์ เราชอบคิดดี แค่ผิดศีลไป 1 ข้อ เครียดไป 3 วัน ต้องไปขอรับศีลใหม่จากพระที่วัด
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเผลอปุ๊บ จะต้องมีอะไรมาทำให้เราผิดในสิ่งที่เราทำ อาจจะลืมใส่บาตร ลืมสวดมนต์ ซึ่งถ้าให้พูดกันจริง ๆ แล้ว บางทีก็ท้อจริง ๆ น่ะแหล่ะ เมื่อไหร่ผลแห่งการกระทำความดีจะบังเกิด ขนาดไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำ ยังไม่มีงานให้ทำเลย คิดเอาก็แล้วกัน มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
เพราะเราทำความดีมากไปรึเปล่า เจ้ากรรมนายเวรของเราก็เลยมาทวงเยอะ
แต่อันนี้ไม่น่าเกี่ยว
งงเหมือนกันนะ หาทางออกไม่ได้
เจอทางตัน
มีอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวอย่างเดียวเองที่ทำเป็น พอลูกค้าน้อยก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วตอนนี้ ต้องบอกว่า "งงกับชีวิต" มาก ๆ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ความฝัน



ผู้หญิงทุกคนเกิดมา อยากมีชีวิตที่ดี อยากมีคนที่สามารถดูแลเราได้ อยากมีคนที่คอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา อยากมีวันได้แต่งงาน อยากมีวันที่มีครอบครัวที่มีความสุข
นี่คงเป็นคำขอที่มากเกินไปสำหรับผู้หญิงทุก ๆ คน เพราะแทบจะน้อยมากเลยนะที่จะได้สมหวังดังที่ต้องการด้านบนทุกหัวข้อ
รวมถึงดิฉันเองด้วย
ดิฉันไม่ได้มีครอบครัวที่มีความสุข แต่ดิฉันนำคำสอนของหลวงพ่อจรัล ฐิตตธัมโม (เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี) มาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
"คำว่าครอบครัว จุดหลักอยู่ที่แม่ทั้งนั้น ถ้าแม่เป็นคนที่เข้มแข็ง อดทน เก่ง อดกลั้น ให้อภัยได้ ครอบครัวนั้นไม่ต้องกลัว ลูกจะดี อย่าไปคิดว่าต้องให้พ่อมันดีนะ ถึงแม้ว่าถ้าพ่อดี แต่แม่เหลวแหลก ยังไงครอบครัวนี้ก็พัง"
"แม่กัน พ่อแก้ และลูกก่อ"
นี่คือคำสอนของหลวงพ่อจรัล

คือ ไม่ว่ายังไง คนที่เป็นแม่ ในเมื่อวันนี้เราเป็นแม่คนได้ เราต้องผ่านความอดทนมาตั้งแต่ตอนที่เราท้อง 9 เดือนแล้ว ไหนจะต้องผ่าตัดคลอดลูก ไหนจะต้องเลี้ยงลูกทั้ง ๆ ที่เจ็บแผล ดิฉันว่า ความอดทนคนเรายังมีเหลือมากกว่านี้อีกเยอะ โดยเฉพาะกับผู้หญิงแล้ว ความอดทนของผู้หญิง ไม่มีขีดจำกัดจริง ๆ
ดิฉันประสบมากับตัวเองแล้วคำ ๆ นี้ ดิฉันสามารถอดทนได้ทุกอย่าง เพื่อลูก
ในวันนี้ต้องบอกว่าดิฉันละทิ้งแล้วสำหรับทุกความฝันที่ดิฉันเคยฝันไว้ เพราะมันไม่สามารถเป็นจริงได้ หากสามีของเรายังเป็นเช่นทุกวันนี้อยู่
ฝันของดิฉันในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย
ฝันขอดิฉันในวันนี้มีแค่นี้เอง
"ขอแค่ให้ได้มีงานทำ ขอแค่ให้ได้มีเงินส่งเสียลูกเรียนหนังสือให้จบ ขอแค่ให้ได้มีเงินเลี้ยงดูแม่ที่แก่แล้ว ถึงแม้ดิฉันจะต้องขี่มอเตอร์ไซด์รับ-ส่งลูกไปจนชั่วชีวิต ถึงแม้ดิฉันจะไม่มีปัญญาซื้อบ้านให้ลูกก็ตาม ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่พยายาม แต่ดิฉันคิดว่า ดิฉันทำวันนี้ได้แค่นี้ ดิฉันทำวันนี้ได้ดีที่สุดแค่นี้แล้ว พรุ่งนี้ดิฉันมีเงินซื้อกับข้าวให้แม่กับลูกทาน มีเงินเหลือนิดหน่อยไปทำบุญที่วัด"

นี่คือสิ่งที่ดิฉันขอ และขอให้ได้ทำทุกวัน รวมไปถึงขอให้มันได้เป็นความจริงในทุก ๆ วันด้วย
อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เพราะบางทีดิฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่เวลาที่เราได้เห็นหน้าคนที่เค้ารอเราอยู่ข้างหลัง มันเหมือนทำให้เรามีพลังที่จะลุกขึ้นสู้นะ สู้เพื่อเค้า สู้เพื่อคนที่เค้ารักเรา และไม่เคยทำร้ายเราเลยจริง ๆ
ทุกวันนี้ดิฉันก็สู้ และจะสู้ต่อไป
ในเมื่อวันนี้ดิฉันมีงานทำ ดิฉันจะพยายาม เพื่อความฝันเล็ก ๆ ในวันนี้จะได้เป็นความจริงในทุก ๆ วัน

เพื่อลูก เพื่ออนาคต


สมัยตอนเป็นนักเรียน คุณครูเคยสอนเสมอว่า
"ครอบครัวเป็นสังคมเหมือนกัน แต่เป็นสังคมเล็ก ๆ และอยู่ใกล้กับตัวเรามากที่สุด"
"ครอบครัวสามารถสอนให้เด็กคนหนึ่ง เป็นคนดี หรือเป็นคนเลวได้ในเวลาเดียวกัน"
"ครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับทุก ๆ อย่างที่เด็ก ๆ จะสามารถเรียนรู้ได้"
"ครอบครัวคือสิ่งที่คนบางคน ต้องการ ขวนขวาย ค้นหา และพยายาม แต่ไม่เคยพบเจอจนชั่วชีวิต"
ดิฉันก็เป็นเช่นกัน
สำหรับดิฉันครอบครัว เป็นเหมือนความฝันตลอดเวลา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ดิฉันจะมีครอบครัวแล้วก็ตาม มีแม่ของเรา มีลูกของเรา และมีสามีเป็นของเรา แต่มันไม่เคยเหมือนที่ดิฉันฝันไว้เลยจริง ๆ
"ไม่เคยมีภาพที่พ่อแม่ และลูกหยอกล้อกัน"
"ไม่เคยมีภาพที่พ่อจะทำให้ลูกหัวเราะให้ได้เห็นบ่อย ๆ"
"ไม่เคยมีภาพที่พ่อสอนลูกให้อ่าน หรือเขียนหนังสือเลย"
สำหรับดิฉัน สามีแทบจะไม่มีบทบาทสำคัญเลย ภายในครอบครัวเล็ก ๆ ของดิฉันเอง สามีของดิฉันเค้ากำลังคิดอะไรอยู่เหรอ เค้ากำลังมองหาสิ่งที่เรียกว่าความฝันของตัวเอง และทำให้เป็นจริงให้ได้ในทุก ๆ ทางที่มีโอกาส แต่เค้าไม่สามารถทำให้วันนี้ชีวิตของเค้ามีความสุขได้จริง ๆ
ดิฉันคิดนะ "ถ้าวันนี้เรายังไม่มีความสุข แล้วพรุ่งนี้เราจะมีเหรอ"
ดิฉันไม่เคยขอให้เค้าร่ำรวย ไม่เคยขอให้เค้าเป็นผู้นำที่ดี ไม่เคยขอให้เค้าเลิกเจ้าชู้ ไม่เคยขอให้เค้าทำอะไรเพื่อดิฉันเลย แต่ดิฉันขอแค่ให้เค้ารักและสามารถดูแลลูกได้ ถ้าเมื่อวันใดไม่มีดิฉันอยู่ แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก
ดิฉันขอแค่ให้เค้ารักลูกมาก ๆ
ดิฉันขอแค่ให้เค้าดูแลลูกบ้างเมื่อมีเวลา
ดิฉันอยากให้พ่อกับลูกมีความผูกพันกันบ้างไม่ต้องมากมาย
ดิฉันอยากให้ลูกรู้ว่า "พ่อมีหน้าที่ปกป้องลูก"
ดิฉันอยากให้ลูกได้รับรู้ว่า "ผู้ชายจริง ๆ เค้าเป็นยังไง"
แต่มันคงสายไปแล้วสำหรับครอบครัวของดิฉัน ซึ่งมีสามีก็เหมือนไม่มี ดิฉันต้องสอนให้ลูกช่วยตัวเองตั้งแต่ลูกเพิ่ง 4 ขวบ หัดทำมาม่าคัพทานเองได้ หันป้อนข้าว และอาบน้ำเองได้ โดยที่คุณยายคอยดูอยู่ห่าง ๆ ดิฉันมีความจำเป็นต้องสอนลูกให้เค้าเข้มแข็ง เพื่ออนาคตของเค้าเอง ดิฉันคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวเพื่ือตัวลูก ในวันนี้สิ่งใดที่ดิฉันทำให้ลูกได้ ดิฉันก็จะทำ เพื่อที่ดิฉันจะได้รู้สึกว่า ดิฉันทำดีแล้ว เพื่อคนที่เรารัก และห่วงใยที่สุดในโลกใบนี้
ในเมื่อเค้ามีพ่อ ก็เหมือนไม่มี ดิฉันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนให้ลูกรู้จักปกป้องตัวเอง และโตขึ้นมาเพื่อปกป้องแม่ รวมไปถึงขอให้เค้าเป็นคนดีของสังคม คงไม่ใช่คำขอที่มากเกินไปใช่ไม๊

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

คำกล่าวโบราณ


"สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ"
นี่เป็นคำพูดที่ดิฉันเพิ่งเคยได้ยินมา หลังจากที่มีชีวิตเกิดอยู่บนแผ่นดินไทยมาเกือบ 30 ปี
คำพูดนี้เป็นคำพูดที่คนเฒ่าคนแก่ มักใช้สอนลูกหลาน ให้ประพฤติ ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ดีงาม
ซึ่งจะเป็นคำสอนสำหรับลูกสาว หลานสาว

ดิฉันเพิ่งซึ้งกับคำ ๆ นี้ก็เมื่อไม่นานมานี้เอง
ในความคิดของดิฉัน ความหมายของคำ ๆ นี้เป็นอย่างนี้นะ (แต่ไม่รู้เมหือนกันว่าคนอื่นว่ายังไงกันบ้าง)
"ตัวเราเป็นผู้กำหนด ในทุก ๆ สิ่งที่จะทำให้คนรอบข้างมองมาที่เรา ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความประพฤติของตัวเราเอง
ไม่มีใครสามารถตีคุณค่าในตัวของเรา ให้มีค่าแค่ไหนได้หรอก ยกเว้นเราทำตัวให้คนอื่นเค้าตีค่าเราได้
คนทุกคนเกิดมาล้่วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าคุณค่าเหล่านั้นจะมากหรือน้อยก็ตาม
มันขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเองทั้งสิ้น"

ขนาดดิฉันคิดว่าตัวเองก็เจนจบมาหลายเรื่อง กระบวนความแล้วเช่นกัน แต่พอมารู้ซึ้งในคำ ๆ นี้จริง ๆ ก็ทำให้อึ้งได้เหมือนกัน
ถ้าอยากมีคุณค่า แล้วเราจะทำตัวให้ด้อยค่าไปทำไม
สมัยนี้ไม่จำเป็นที่ผู้หญิงจะต้องไปนั่งง้อให้ผู้ชายมาเป็นช้างเท้าหน้าอีกต่อไปแล้ว

คุณค่าของผู้หญิงในสมัยนี้ เราต้องยอมรับในระดับหนึ่งว่า ค่อนข้างจะพัฒนาไปได้ไกลมาก ๆ แล้ว ไกลกว่าสมัยโบราณเยอะ แต่คำสอนในสมัยก่อน ก็สามารถให้ข้อคิดและทำให้ลูกหลาน "หยุด ชะงัด" ได้สักนิดเหมือนกัน

หยุด เพื่อที่จะคิด
ดิฉันก็เป็นเช่นกัน หยุดสักนิด เพื่อที่จะได้ใช้เวลาที่หยุดนั้น คิดให้ดีถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ว่ามันเหมาะสม มีคุณค่าต่อตัวเราเองหรือไม่ หรือทำไปแล้วจะมีแต่คนดูถูก

ดิฉันต้องขอบคุณคำสอบโบราณที่ทำให้ได้คิดแม้สักนิด
ก็ยังดีกว่าไม่ได้คิดอะไรเลย
ดีกว่าไม่มีอะไรมาทำให้เอะใจ หรือชะงัก
ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปกับกิเลส ตัณหา และราคะ
ซึ่งตัวดิฉันก็ยังเป็นอยู่
ขนาดอ่านหนังสือธรรมะ ยังดีแตกได้เหมือนกันนะ
เฮ้อ
คำกล่าวเหล่านี้จะยังคงมีเหลือไว้ให้ลูกหลานได้จดจำอีกนานไม๊
เป็นคำถามที่เพิ่งคิดได้เมื่อกี้นี้เอง
จริง ๆ รุ่นดิฉันนี่ก็ไม่ใช่รุ่นใหม่แล้วนะ
แต่คำพูดนี้ ดิฉันเพิ่งจะได้ยินมา
ส่วนคำพูดอื่น ๆ วันหลังจะยกมาฝากละกันนะ

หยุดเพื่อคิด
เปลี่ยนความคิดให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
ดีกว่าปล่อยให้ความคิดเหล่านั้นทำร้ายตัวเราเอง
จริงไม๊

ตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดคุณค่าให้ตนเอง

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

เวรกรรม



เราเป็นคนที่สวดมนต์ ทำทาน และนั่งสมาธิบ้างเมื่อมีโอกาส สำหรับตัวเราเองแล้ว เราไม่เคยคิดหรอกนะว่าการนอกใจจะเป็นสิ่งที่เราจะทำได้ เมื่อก่อนเรามั่นใจมาก ๆ ว่า เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เราจะสามารถนอกใจสามีได้
แต่แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราทำผิด ซึ่งไม่ใช่ความผิดครั้งแรกของเรา ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรานอกใจเค้า เพียงแต่เราแค่แอบมีใจให้คนอื่น ซึ่งไม่ได้มีการล่วงเกินใด ๆ กันทางด้านร่างกาย
เราแค่อยากรู้ว่าเราจะสามารถทำได้ไม๊
คำตอบ :
เราทำได้นะ แต่เราไม่สบายใจ เหมือนเราทำผิด ผิดต่อบาป ความผิดนี้จะไม่มีใครรู้หรอก แต่ความลับไม่มีในโลก เราย่อมรู้แก่ตัวเราเอง ซึ่งพอมาคิดดูอีกที ที่สามีของเรานอกใจเราทุกวันนี้ อาจจะเกิดจากกฎแห่งกรรมที่เราเคยทำไว้กับคนที่เค้ารักเรามาก ๆ แต่เรากลับนอกใจเค้าได้ แค่อารมณ์ชั่ววูบ
ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมดเลย จากหน้ามือเป็นหลังมือ ชีวิตของเราเปลี่ยน เปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าของอดีตอีกต่อไป นี่เราผิดบาปศีลแค่ข้อเดียวนะ คือศีลข้อ 3 แต่ศีลข้อนี้สามารถทำให้เวรกรรมตามเรามาจนถึงทุกวันนี้ แม้เวลาจะแปรเปลี่ยนไปนานแล้วหลาย 10 ปีก็ตามที แต่เวรกรรมนี้ไม่มีวันหมดจริง ๆ
แต่การที่เราทำผิดในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ แต่มันเกิดจากการต้องการใครสักคนที่สามารถปกป้องและดูแลเราได้จริง ๆ มีความเป็นผู้นำ เป็นผู้ใหญ่ เราก็เลยลองคิดนอกใจสามีดูบ้าง ถามว่ามีความสุขไม๊ มีนะ แต่มันเหมือนโลกของความฝัน ซึ่งจะไม่มีวันเป็นจริงได้ เราไม่สามารถทำได้ เราไม่สามารถนอกใจสามีจริง ๆ และทำร้ายลูกชายสุดที่รักของเราได้
เราขอให้เวรกรรมใด ๆ ก็ตามที่เราเคยทำไว้กับคนที่เค้ารักเรามาก ๆ มันจบลงได้สักที เพราะทุกวันนี้เราก็ได้ประสบกับความทุกข์กาย และทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสแล้ว จากการที่สามีนอกใจ ไปมีใจให้กับผู้หญิงอื่น เราอยากขออโหสิกรรมต่อทุก ๆ คนที่เราได้ล่วงเกินทำร้ายคนเหล่านั้นด้วยการผิดศ๊ลข้อ 3
เราอยากให้เวรกรรมเหล่านี้จบลง เราอยากมีอิสระอีกครั้ง เราอยากเห็นท้องฟ้ากว้าง ๆ อีกครั้ง เราอยากเห็นความสดใสในชีวิตอีกครั้ง แต่มันจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ในเมื่อหลาย ๆ คนที่เค้ารักเรา เค้าไม่สามารถให้อภัยในความผิดที่เราเคยทำไว้ในอดีตได้
เราได้แต่เพียงขอให้คำภาวนาของเราส่งไปถึงเค้า บอกให้เค้ารู้ว่าในวันนี้้ "เรารู้ว่าแล้วว่าเค้าเจ็บปวดและทรมานมากเพียงใดกับสิ่งที่เราได้ทำกับเค้าไว้ และเราขอโทษ ขอโทษจากใจจริง ๆ "

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ทางออก



ตัวเราเองเป็นคนที่ศึกษาในพระพุทธศาสนา และหลักธรรม มาพอสมควรเหมือนกัน
ในปัจจุบันนี้ เรารู้ตัวว่า สิ่งที่เราได้รับเกิดจากกรรมเก่าที่เราเคยไปทำกับใครต่อใครเอาไว้ แล้วตัวเราต้องได้รับผลของการกระทำเหล่านั้น
กรรม คือ ผลแห่งการกระทำ
กรรมดี คือ ผลแห่งการทำความดี ในที่นี้ เราควรจะต้องทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนด้วยนะ ไม่ใช่ว่าทำดีเพราะอยากรวย สวดมนต์เพราะอยากรวย อันนี้ไม่ใช่
กรรมชั่ว คือ ผลแห่งการทำความชั่ว เคยคิดไม๊ว่า ทำไมชีวิตของเราทำอะไรก็ไม่ได้ดี ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตามที ถึงแม้ตัวเราเองจะไม่ไปเบียดเบียนใครก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่ชอบเบียดเบียนเรา หรือว่า ทำไมไม่รวย ทำไมไม่สวย ทำไมชีวิตมีแต่ความทุกข์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นมาจาก ผลแห่งการทำความชั่ว ที่ตัวเราเคยทำเอาไว้โดยที่เราไม่รู้เลยว่าไปทำเค้าไว้ตอนไหน

คำว่า "บังเอิญ" ไม่มีบนโลกใบนี้นะ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะ "กฎแห่งกรรม"
เมื่อถึงเวลาที่ต้องชดใช้กรรมที่เราเคยทำเอาไว้ ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่สามารถช่วยเราได้ ยกเว้นตัวเราเอง
ตัวเราเท่านั้นที่สามารถช่วยตัวเองได้ ช่วยยังไงเหรอ
"ก็ทำความดีไง ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ การทำบุญ การทำทาน การทำสมาธิ การดูแลบุพการี สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการทำความดีทั้งสิ้น"
กรรมเก่า เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ แต่เราสามารถสร้างกรรมใหม่ ซึ่งเป็นกรรมดีให้ช่วยบรรเทาในส่วนของกรรมเก่าเหล่านั้นได้บ้าง อาจจะได้ไม่มากก็น้อย จากหนักก็จะกลายเป็นเบา และจากเบาอาจจะหายไปเลยก็ได้ "คำพูดนี้เป็นคำพูดของสมเด็จพุฒาจารย์โต" ซึ่งตัวเราขอนำมาเผยแพร่ในบล๊อกนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้หลาย ๆ คนที่กำลังเป็นทุกข์อยู่

ตัวเราเองก็ทุกข์ ยิ่งเราทำความดีเรายิ่งเป็นทุกข์ เพราะความดีสมัยนี้ทำยาก แต่ทำไปเถ่อะ ใครไม่เห็น แต่ตัวเราเห็น ฟ้าเห็นว่าเราทำดี โดยความบริสุทธิ์ใจ

กำลังใจ เราสร้างได้ด้วยตัวเราเอง
เราเกิดมาตัวคนเดียว ตายไปก็ตายคนเดียวเช่นกันนะ
สิ่งที่เรานำไปได้มี 2 อย่าง คือ บุญกับบาป

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

แค่เกือบเป็นไปได้




เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เราเกือบคิดแล้วนะว่าเราจะได้เริ่มต้นใหม่ มีชีวิตใหม่ ๆ หลุดพ้นสักทีกับผู้ชายคนนี้ แต่เปล่าเลย
เค้าส่งข้อความมาบอกเลิกเรา มาด่าว่าเรา แต่พอสุดท้ายแล้ว เค้ากลับมาที่บ้าน ทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราไม่รู้ว่าเราควรทำยังไงดีกับคน ๆ นี้ เราเหนื่อยเหลือเกิน เค้าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้เลย ไม่เคยมีความเป็นผู้นำ ไม่สามารถเป็นสามีที่ดี หรือเป็นพ่อที่ดีของลูกได้ เค้าไม่เคยสนใจครอบครัวเลย เค้าสนใจแต่ตัวเค้าเอง

เราไม่เหลือความรัก ความผูกพัน ความห่วงใยอะไรให้เค้าอีกต่อไปแล้ว เมื่อวานเราเก็บเสื้อผ้า สิ่งของที่เค้าต้องการให้เค้าไปเรียบร้อยแล้ว เค้าบอกให้เราห่างกันสักพัก แต่เปล่าเลย เค้ากลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่าเค้าไม่เคยทำร้ายจิตใจเราใด ๆ ทั้งสิ้น

เราจะทำยังไงดี ปากเค้าบอกว่ารักเรา แต่ทำไม เค้าทำลายเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความภาคภูมิใจ ศักดิ์ศรีของเรา เราชอบบอกคนอื่นว่า "ไม่มีใครสามารถทำร้ายเราได้ ยกเว้นตัวเราเอง" คำพูดนี้มีความหมายเช่นนั้นจริง ๆ "เราทำร้ายตัวเราเอง และเรายังทำร้ายคนที่เรารักอีก 2 คน ไม่ว่าจะเป็นลูกชาย หรือแม่ของเรา"

เค้าไม่เคยให้ความเคารพยำเกรงใด ๆ กับแม่ของเราเลย พอแม่เราหมดประโยชน์เค้าทำเหมือนกับแม่ของเราเป็นขยะ อย่างนั้นเลย ไม่เคยมีความเกรงใจใด ๆ ทั้งสิ้น เราสงสารแม่ของเรามาก ๆ เลย เราอยากเลิกไปจากผู้ชายเลว ๆ คนนี้ เราควรทำยังไงดี

ในวันนี้เราตัดใจได้แล้ว เราคงไม่สามารถรักคน ๆ นี้ได้อีกต่อไปแล้ว เค้าทำร้ายเรา เราไม่เคยถือโทษและโกรธเคือง แต่อย่าทำร้ายแม่ของเรา เพราะแม่ของเราให้โอกาสและดูแลเค้าดีกว่าที่แม่ของเค้าดูแลซะอีก

ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริง ๆ ไม่เคยคิดถึงคนอื่น คิดถึงแต่ตัวเอง

เราคิดถูกแล้วใช่ไม๊ที่ตัดใจได้

เราจะทำยังไงดี ให้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง

เราจะทำยังไงดี ให้เค้าไปจากชีวิตของเรา ของคนที่เรารัก

เราจะทำยังไงดี

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

พังทลาย



ตอนนี้ความรู้สึกที่เรามีให้กับสามีนั้นมันคือความเฉยชา และสงบ
สงบมากจนเรารู้สึกว่ามันไม่เหลืออะไรอีกแล้วในใจของเรา ไม่เหลือแม้แต่ความผูกพัน
เค้าทำลายความรู้สึกที่เรามีให้กับเค้าจนย่อยยับลงไปด้วยคำพูดของเค้า ความเห็นแก่ตัวของเค้า

เราไม่เคยคิดร้ายกับเค้าเลยนะ ไม่เคยอยากให้เค้าเจ็บปวด ไม่เคยอยากให้เค้าเสียใจ หรือว่าผิดหวัง อะไรถ้าเราหามาให้เค้าได้เราจะทำ เราทำได้ทุกอย่างแม้คนรอบข้างจะมองว่าเราโง่ แต่เราก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก ตราบใดถ้าสิ่งที่เราทำมันจะสามาถรพยุงครอบครัวของเราให้ผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ แต่เราอาจจะคิดผิดก็ได้นะ

เค้าไม่เคยเห็นความสำคัญของความรู้สึกที่เรามีให้เค้าเลย เค้าเหยียบย่ำและทำลายความรู้สึกของเรา
ทำไมเค้าชอบขึ้นเสียง และตะคอกใส่เรา เวลาคุยกันได้ 2-3 คำก็ ถอนหายใจ เหมือนเบื่อที่จะต้องอยู่กับเรา
มันคงจะจริง ที่เค้าอาจจะเบื่อ เพราะตลอดเวลา 6 ปีที่เราอยู่ด้วยกันมา เราไม่เคยขัดใจอะไรเค้าเลย
แต่สำหรับวันนี้ มันคงไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

เราให้เค้าเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรามา 6 ปีแล้วนะ
ระยะเวลา 6 ปีที่เราไม่ได้เป็นตัวของเราเอง
6 ปีที่เราทุ่มเทให้กับครอบครัว
6 ปีที่เราทิ้งทุกอย่างแม้แต่เพื่อน ๆ เพื่อมีแค่ครอบครัว
แล้ววันนี้ วันที่ชีวิตครอบครัวของเรากำลังจะพัง เราไม่สามารถพูดคุยกับใครได้เลย
เพราะเราเลือกเค้า เราไม่ได้เลือกเพื่อนหรือพี่น้อง
วันนี้เราจึงไม่มีที่ปรึกษา

เราขอเค้านะ
เราขอชีวิตของเราคืน
จากวันนี้ไปเราขออิสระ
เรารอวันที่เค้าจะปลดปล่อยเรา
ขอให้บุญกุศลทั้งหลายที่เราทำมา ช่วยปลดปล่อยเราออกจากพันธนาการนี้ด้วย
เรากำลังพยายามอยู่นะ
และเรารู้ว่าวันที่เรารอคอย จะต้องมาถึง สักวันหนึ่ง